- 20 ก.ย. 2561
จากกรณีเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2561 ภายหลังอดีตพระเอกดัง โอ วรุฒ วรธรรม ได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบ และได้เข้าสู่การประกอบพิธีทางศาสนาที่วัดพระนอนขอนตาล อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จากกรณีเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2561 ภายหลังอดีตพระเอกดัง โอ วรุฒ วรธรรม ได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบ และได้เข้าสู่การประกอบพิธีทางศาสนาที่วัดพระนอนขอนตาล อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ในพิธีเคลื่อนศพพบว่า นายเมทนี บุรณศิริ หรือ นีโน่ เพื่อนสนิทในวงการของผู้วายชนม์แต่งกายด้วยชุดสีกากี อันเป็นเครื่องแบบของข้าราชการพลเรือน จนบนโลกออนไลน์ต่างตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใดนายเมทนี จึงสามารถใส่ชุดนี้มาร่วมงานศพได้
แท้จริงแล้วนอกจากทำหน้าที่เป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์แล้ว นีโน่ ยังเป็นผู้พิพากษาสมทบ แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ของศาลจังหวัดปทุมธานี ตั้งแต่เดือน พ.ย. 2551 ซึ่งทางเจ้าตัวได้เปิดเผยว่าก่อนหน้านี้การเข้ารับตำแหน่งผู้พิพากษาสมทบของศาลดังกล่าวจะเป็นการคัดสรร แต่ในรุ่นของตนจะเป็นการสอบคัดเลือก และในตอนนั้นมีผู้เข้าสอบคัดเลือกเป็นจำนวนมาก แต่ตนก็สอบผ่านมาได้ตามที่ใจหวังไว้และยังเป็นคนบันเทิงคนแรกที่สอบได้ เพราะพบว่าก่อนหน้านี้มีคนบันเทิงหลายคนมาสอบแต่ไม่ผ่าน
ระหว่างผู้พิพากษาสมทบ กับ ผู้พิพากษา มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะผู้พิพากษาสมทบจะไม่มีเงินเดือนรวมทั้งสวัสดิการเฉกเช่นข้าราชการและการสอบก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ในทำงานหรือคุณวุฒิด้านกฏหมาย การปฏิบัติงานจะเป็นเพียงร่วมพิจารณาคดีพร้อมกับผู้พิพากษาเฉพาะคดีเยาวชนและครอบครัว ว่าเด็กที่ถูกพิจารณาคดีสมควรที่จะต้องได้รับโทษต้องเข้าไปอยู่ในสถานพินิจฯ หรือรอลงอาญาเท่านั้น
ในการดำเนินคดีกับเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด ศาลเยาวชนและครอบครัวมีบทบัญญัติให้ศาลคำนึงถึงสวัสดิภาพและอนาคตของเด็กและเยาวชนซึ่งควรจะได้รับการฝึกอบรมสั่งสอน และสงเคราะห์ให้กลับตัวเป็นพลเมืองดี ยิ่งกว่าการลงโทษ ดังนั้นจึงมีการคัดเลือกตัวผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวอย่างรอบคอบ โดยยึดหลักว่า "จะต้องเป็นผู้ซึ่งมีอัธยาศัยดี และมีความประพฤติเหมาะสมที่จะปกครองและอบรมสั่งสอนเด็กและเยาวชน"
แม้จะมีการคัดเลือกตัวบุคคลผู้เหมาะสมมาทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษาในศาลเยาวชนและครอบครัวแล้วก็ตาม ก็อาจจะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นได้ เพราะบุคคลผู้เป็นผู้พิพากษาที่ได้รับการคัดเลือกดังกล่าว อาจจะยังคงติดวิธีการหรือแนวความคิดที่มุ่งมั่นหรือมองปัญหาไปในด้านตัวบทกฎหมายเพียงอย่างเดียวโดยลืมคำนึงถึงปัญหาเกี่ยวกับตัวเด็กและเยาวชนนั้น หรืออาจจะขาดความรู้ความเข้าใจในความรู้สึกของเด็กและเยาวชนนั้นได้เช่น ผู้ขาดประสบการณ์ในการมีครอบครัว
กฎหมายจึงได้บัญญัติให้มีผู้พิพากษาสมทบขึ้นในศาลเยาวชนและครอบครัว เพื่อต้องการให้มีบุคคลภายนอกซึ่งไม่ใช่นักกฎหมายได้มีโอกาสมองปัญหาเกี่ยวกับตัวเด็กและเยาวชนผู้กระทำความผิดนั้นเช่นเดียวกับการมองปัญหาลูกหลานของตนเองพิจารณาหาสาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหาตามสภาพและความรู้สึกนึกคิดของบุคคลทั่วไป เพื่อช่วยให้ผู้พิพากษาได้ใช้ดุลพินิจในการมีคำสั่งหรือคำพิพากษาหาแนวทางแก้ไขได้ถูกต้องแท้จริง
ผู้พิพากษาสมทบ เป็นตำแหน่งซึ่งได้กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 ว่า "ในศาลเยาวชนและครอบครัวทุกศาล ให้มีผู้พิพากษาและผู้พิพากษาสมทบตามจำนวนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกำหนด" มาตรา 16 และยังมีบทบัญญัติกำหนดว่า ศาลเยาวชนและครอบครัวต้องมีผู้พิพากษาไม่น้อยกว่าสองคน และมีผู้พิพากษาสมทบอีกสองคน ซึ่งอย่างน้อยคนหนึ่งต้องเป็นสตรี จึงเป็นองค์คณะพิพากษาคดีได้ มาตรา 24
แต่กฎหมายดังกล่าวมิได้กำหนดบทวิเคราะห์ศัพท์คำว่า "ผู้พิพากษาสมทบ" ไว้โดยเฉพาะผู้พิพากษาสมทบจึงเป็นบุคคลธรรมดาซึ่งคณะกรรมการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการคัดเลือกตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวงและได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นผู้พิพากษาสมทบ
ผู้พิพากษาสมทบต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1. มีอายุไม่น้อยกว่า 30 ปีบริบูรณ์
2. มีหรือเคยมีบุตรมาแล้วหรือเคยทำงานเกี่ยวข้องกับการสงเคราะห์หรือการอบรมเด็กมาแล้วไม่น้อยกว่าสองปี
3. ได้รับการอบรมในเรื่องความมุ่งหมายของศาลเยาวชนและครอบครัวและหน้าที่ตุลาการมาแล้วตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
4. มีคุณสมบัติที่จะเป็นข้าราชการตุลาการได้ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ เว้นแต่ในเรื่องพื้นความรู้ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
5. ไม่เป็นข้าราชการประจำ ข้าราชการการเมือง สมาชิกรัฐสภาหรือทนายความ
6. มีอัธยาศัยและประพฤติเหมาะสมแก่การพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
เมื่อวันที่ 29 ก.ค. พ.ศ.2559 ตามพระราชพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2559 ได้กำหนดให้ผู้พิพากษาสมทบดำรงตำแหน่งคราวละ 3 ปี เพื่อให้ได้บุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถและมีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานเข้าสู่ระบบการคัดเลือกเป็นผู้พิพากษาสมทบอย่างเหมาะสม จากนั้นจะมีการพิจาณาโดยคณะกรรมการอีกครั้ง หากผลงานดีและมีความประสงค์ที่อยากจะปฏิบัติหน้าที่ต่อทางคณะกรรมการจะพิจารณาให้ แต่ทั้งนี้จะมีการอบรมอีกครั้งเพื่อให้ผู้พิพากษาสมทบรู้เท่าทันกฏหมายใหม่ที่ปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมของสภาพบ้านเมือง คาดว่าที่นี่โน่ เมทนี เลือกที่จะแต่งชุดข้าราชการพลเรือนอาจด้วยเพราะต้องทำพิธีอัญเชิญพวงมาลาพระราชทานฯ นำขบวนซึ่งเป็นพิธีทางการนั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก Lawsiam