- 20 ส.ค. 2568
เจาะลึก"โฉนดต้นยาง"แปลงสินทรัพย์เป็นทุน จุดเริ่มต้นเพื่อยกระดับชีวิตและอนาคตของเกษตรกรไทย สร้างมูลค่าเศรษฐกิจให้ชาวสวนยางทั่วประเทศ
ประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตยางพารารายใหญ่ของโลก กำลังก้าวสู่ยุคใหม่ที่จะยกระดับมาตรฐานเกษตรกรเป็นล้านคนให้เป็นหนึ่งเดียว และอยู่ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน ด้วยนวัตกรรมที่เรียกว่า "โฉนดต้นยาง" โดยแนวคิดนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแสดงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของต้นยางพารา แต่คือการสร้างมาตรฐานกลาง ที่ทำให้ต้นยางพารามีมูลค่าและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
- จุดเริ่มต้นแนวคิดโฉนดต้นยาง
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คนที่ 68 มอบนโยบายโครงการโฉนดต้นยางพารา เพื่อให้เกษตรกรสามารถใช้ต้นยางพาราที่มีเอกสารสิทธิ์ เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันกู้เงิน นำไปต่อยอดการลงทุนและอาชีพ
โดยมอบหมายให้ ดร.เพิก เลิศวังพง ประธานกรรมการ การยางแห่งประเทศไทย หรือ กยท. ขับเคลื่อนโครงการฯ โดยมีการริเริ่มแนวคิดว่าต้นไม้ที่ปลูกโดยเกษตรกรชาวสวนยางนั้นควรถูกยอมรับในสิทธิ์ แม้จะไม่มีเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน
จึงเกิด “โฉนดต้นยางพารา” ขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ซึ่งต้นยางพาราที่ถูกแปลงเป็นสินทรัพย์จะมีข้อมูลลักษณะเชิงวิทยาศาสตร์และพิกัดที่แม่นยำ พร้อมระบุตัวตน อายุ สายพันธุ์ และปริมาณคาร์บอนเครดิต เพื่อแสดงถึงความเป็นเจ้าของที่แท้จริงและมีสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์จากผลผลิต
“โฉนดต้นยางพารา” นี้มีเป้าหมายหลักในการช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับยางพารา ซึ่งถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ให้มีมูลค่าเทียบเท่ากับอสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ ตามนโยบายสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- ประโยชน์ของโฉนดต้นยางพารา
“โฉนดต้นยางพารา” จะไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่การแสดงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของเท่านั้น แต่ยังช่วยปลดล็อกเพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและธุรกิจให้กับเกษตรกรอย่างรอบด้าน
1. ใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจ : เกษตรกรชาวสวนยางสามารถใช้โฉนดต้นยางเป็นสินทรัพย์รับรอง เพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนและสินเชื่อได้ง่ายขึ้น
2. แสดงมูลค่าทางเศรษฐกิจ : ยืนยันว่าต้นยางพารามีมูลค่าที่เป็นรูปธรรมและจับต้องได้
3. ใช้เป็นหลักประกันทางการเงิน : โดยการนำมูลค่าที่รับรองแล้วมาใช้เป็นหลักประกันในการกู้ยืมหรือทำธุรกรรมต่างๆได้
4. รองรับเกณฑ์ EUDR : ผ่านข้อมูลที่โปร่งใสของโฉนดต้นยางพารา และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ทำให้สามารถส่งออกยางพาราไปยังตลาดโลกที่อยู่ในกลุ่มสหภาพยุโรปได้ตามข้อกำหนดของ EUDR
5. บริหารจัดการคาร์บอนเครดิต : สามารถนำข้อมูลต้นยางจากโฉนดต้นยางพาราไปใช้ในการคำนวณ เพื่อบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต เพิ่มรายได้ หรือรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมทางสิ่งแวดล้อม
- ความท้าทายระดับโลก
-เกษตรกรจำนวนมาก ไม่มีเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน
-กฎEUDR ของสหภาพยุโรปกำหนดว่าการปลูกพืชต้องไม่บุกรุกป่า หลังปี 2020
-ประเทศไทย มีสวนยางพารา กว่า22ล้านไร่ แต่ยังไม่มีข้อมูลจำนวนต้นยางที่แท้จริง
- เชื่อมตลาดท้องถิ่น 600 แห่ง
ข้อมูลจากโฉนดต้นยาง จะถูกรวบรวม เข้าสู่ระบบประมวลราคายางทั่วประเทศเชื่อมโยงกับตลาดยาง 600 แห่งทั่วประเทศที่การยางดำเนินการอยู่ สร้างราคากลาง จากการซื้อขายจริง ( Real Trade Price) ต่อเนื่องสู่ ตลาดกลางยางพารา Thai Rubber Trade (TRT) ระบบประมูล แพลตฟอร์มออนไลน์ และการเจรจาตรง กลายเป็นโมเดลที่โปร่งใสตรวจสอบได้ ทำให้เกิดราคากลางที่เป็นธรรมและยกระดับราคายางพาราไทยสู่เวทีโลก
- โฉนดต้นยาง มีความแม่นยำชี้พิกัดได้
โฉนดต้นยางพารา มีความแม่นยำสูง ด้วยข้อมูลสำคัญอย่างพิกัด GPS รายต้น ทั้งละติจูดและลองจิจูด รวมถึงข้อมูลอายุ สายพันธุ์ เนื้อไม้ และปริมาณคาร์บอนเครดิตที่จัดเก็บในรูปแบบ QR Code
กยท. ตั้งเป้าจัดทำโฉนดต้นยางพาราให้กับเกษตรกรชาวสวนยางที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้อง และมีต้นยางอายุระหว่าง 7-18 ปี จำนวนกว่า 468,907 ราย ในพื้นที่กว่า 3.9 ล้านไร่ ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสวนยางพาราได้สูงถึง 270 - 457 บาทต่อต้น หรือประมาณ 18,900 - 31,990 บาทต่อไร่ (เฉลี่ย 70 ต้น ต่อไร่)
- คุณสมบัติเกษตรกรที่จะได้รับสิทธิ์จากโฉนดต้นยาง
1.ขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทย ( กยท.)
2.มีชื่อเป็นเจ้าของ หรือครอบครอง ที่มีสิทธิ์ในต้นยางพาราโดยชอบด้วยกฎหมาย
และเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ได้มีการมอบ “โฉนดต้นยางพารา” ให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง โดยถือว่าเป็นก้าวสำคัญในการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน และยังช่วยสนับสนุนเป้าหมายการเพิ่มพื้นที่สีเขียวของประเทศไทยให้ได้ 40% อีกด้วย โดย “โฉนดต้นยางพารา” มีไว้เพื่ออนาคตที่ดีขึ้นของเกษตรกรไทย ช่วยสร้างอนาคตที่มั่นคงและยกระดับมาตรฐานยางพาราไทย





