- 03 ต.ค. 2568
เจาะลึกข้อดีของมนุษย์เงินเดือน VS เจ้าของธุรกิจส่วนตัว พร้อมความเสี่ยงที่ต้องรู้ก่อนลาออกจากงานประจำ และจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการผันตัวเป็นเจ้าของกิจการ
สังคมปัจจุบันเต็มไปด้วยแรงกดดันให้ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างรวดเร็ว คนรุ่นใหม่จำนวนมากถูกชักจูงด้วยเรื่องราวความสำเร็จของเจ้าของกิจการที่รวยล้นฟ้า จนหลายคนเริ่มตั้งคำถามกับอาชีพมนุษย์เงินเดือนที่ตนเองทำอยู่ว่าเป็นทางตันหรือไม่ ความฝันของการเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัวที่มาพร้อมกับภาพลักษณ์ของอิสรภาพ และความมั่งคั่ง ได้ผลักดันให้หลายคนรีบร้อนลาออกจากงานประจำเพื่อไล่ตามความฝัน
แต่ความจริงเบื้องหลังที่หลายคนอาจไม่เคยรู้คือ เส้นทางสู่ความสำเร็จของเจ้าของธุรกิจที่เราเห็นนั้น มักแสดงแค่ด้านที่สวยงาม แต่ซ่อนความเสี่ยง และความล้มเหลวที่มีมากกว่าเอาไว้ ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนมาพิจารณาทั้งสองเส้นทางอาชีพอย่างรอบด้าน เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ว่า มนุษย์เงินเดือน หรือเจ้าของกิจการ แบบไหนคือทางของเรา
เจาะลึกข้อดีของการเป็นมนุษย์เงินเดือน และเจ้าของธุรกิจส่วนตัว
ทั้งสองเส้นทางอาชีพมีจุดเด่น และข้อดีที่แตกต่างกัน การเข้าใจข้อดีของแต่ละทางเลือกจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าอะไรเหมาะกับตัวเองมากกว่า โดยที่ไม่จำเป็นต้องมองข้ามโอกาส หรือเส้นทางที่อาจเหมาะสมกับสไตล์การใช้ชีวิต และเป้าหมายของคุณ มาดูกันว่าแต่ละเส้นทางมีข้อดีอะไรบ้าง
- ข้อดีของการเป็นมนุษย์เงินเดือน
หลายคนอาจมองข้ามความมั่นคง และข้อดีของการเป็นมนุษย์เงินเดือน เพราะถูกชักจูงด้วยภาพความสำเร็จของเจ้าของธุรกิจ แต่ความจริงแล้ว การเป็นมนุษย์เงินเดือนมีข้อดีที่น่าสนใจหลายประการ
- รายได้เข้ามาแน่นอนทุกเดือน : ช่วงสิ้นเดือนเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข เพราะได้รับเงินเข้าบัญชีพร้อมกันทั้งบริษัท ไม่ต้องลุ้นว่าเดือนนี้จะมีรายได้พอกับค่าใช้จ่ายหรือไม่
- ใช้แรงไม่ใช้เงิน : ขอเพียงใช้สติปัญญา และแรงกายทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ ก็จะได้รับเงินเดือนเป็นการตอบแทน ไม่จำเป็นต้องมีทุนทรัพย์มากมาย
- มีบริษัท และเจ้านายดูแล : บริษัทมักจะมีระบบสอนงานจากเจ้านาย และฝึกอบรมจากวิทยากรผู้ทรงความรู้ ช่วยในการพัฒนาความรู้ และทักษะความชำนาญ
- หยุดทำงานก็ได้เงิน : บริษัทอนุญาตให้ลาพักร้อน ลาป่วย ลาคลอด ลากิจ โดยที่ยังได้รับเงินเดือน บางแห่งยังมีสวัสดิการอื่น ๆ เช่น ประกันสุขภาพ ช่วยผ่อนบ้าน ค่ารถ ค่ามือถือ
- ยื่นเอกสารกู้ธนาคารได้ง่ายกว่า : สลิปเงินเดือนเป็นเอกสารทางการเงินที่มีค่า สามารถนำไปขอกู้เงินจากธนาคารได้ง่าย เพราะแสดงถึงรายได้ที่แน่นอน
- ข้อดีของการเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว
การเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัวมีเสน่ห์ และข้อดีที่ดึงดูดให้หลายคนอยากลองเส้นทางนี้ ยกตัวอย่างเช่น
- โอกาสรายได้ไม่มีเพดาน : ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของรายได้ ยิ่งธุรกิจเติบโต รายได้ก็จะเพิ่มมากขึ้นตาม ต่างจากมนุษย์เงินเดือนที่รายได้มีขอบเขตจำกัด
- เป็นเจ้าของกิจการ และผลกำไร : ได้รับผลประโยชน์ และกำไรทั้งหมดจากธุรกิจที่ตนเองสร้างขึ้น ไม่ต้องแบ่งให้กับเจ้านาย หรือองค์กร
- มีอิสระในการตัดสินใจ : สามารถกำหนดทิศทางธุรกิจ และตัดสินใจในทุกเรื่องได้เอง ไม่ต้องรอคำอนุมัติจากผู้บริหาร หรือเจ้านาย
- ได้ทำในสิ่งที่รัก : สามารถเลือกทำธุรกิจที่ตนเองมีความหลงใหล และชื่นชอบ เป็นแรงผลักดันให้มีความสุขกับการทำงานมากขึ้น
- มีโอกาสสร้างมรดกทางธุรกิจ : สามารถสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน และส่งต่อให้รุ่นต่อไปได้ เป็นการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว
- อยากเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว ต้องรู้ความเสี่ยงก่อน
หนังสือธุรกิจ คอร์สสัมมนา และสื่อต่าง ๆ มักนำเสนอแต่ด้านสวยงามของการเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่ความจริงที่หลายคนไม่ได้รับรู้คือ ธุรกิจส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จ และต้องปิดตัวลงภายในปีแรก มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อยู่รอด และทำกำไรได้อย่างยั่งยืน
ความเสี่ยงแรกของการทำธุรกิจคือ เรื่องเงินทุน คุณต้องมีเงินลงทุนเริ่มต้น และพร้อมรับมือกับกระแสเงินสดที่ไม่แน่นอน บางเดือนอาจมีรายได้ดี แต่บางเดือนอาจแทบไม่มีรายได้เลย ต่างจากมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้แน่นอนทุกเดือน นอกจากนี้ การทำธุรกิจยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการแข่งขันในตลาด การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ และปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ที่ควบคุมไม่ได้
อีกความเสี่ยงที่สำคัญคือ เรื่องเวลา และสุขภาพ เจ้าของธุรกิจมักต้องทำงานหนักกว่ามนุษย์เงินเดือนโดยเฉลี่ย โดยไม่มีวันหยุดที่ชัดเจน ไม่มีวันลาป่วยที่ยังได้รับเงิน และไม่มีใครมาทำงานแทนเมื่อคุณไม่อยู่ ซึ่งในระยะยาวอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพกาย และสุขภาพจิต
นอกจากนี้ เจ้าของธุรกิจยังต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ มากมาย ทั้งด้านการจัดการ การตลาด การเงิน การบัญชี กฎหมาย และอื่น ๆ ซึ่งแตกต่างจากมนุษย์เงินเดือนที่สามารถเชี่ยวชาญในด้านที่ตนเองถนัดเพียงด้านเดียวได้ ดังนั้นก่อนตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อทำธุรกิจส่วนตัว คุณควรประเมินตนเองอย่างถี่ถ้วนว่าพร้อมรับความเสี่ยงเหล่านี้หรือไม่ ถ้าพร้อมแล้วก็สามารถลุยได้เลย !
- แล้วเมื่อไรมนุษย์เงินเดือนถึงผันตัวมาเป็นเจ้าของกิจการได้
หลายคนอาจฝันอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่ยังไม่แน่ใจว่าควรก้าวออกจากความมั่นคงของงานประจำเมื่อไร ความจริงแล้ว การเป็นมนุษย์เงินเดือนสามารถเป็นก้าวแรกที่ดีสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจได้ โดยคุณควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้ก่อนตัดสินใจ
- ประการแรก : คุณควรมีเงินสำรองเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 6-12 เดือน เพื่อรองรับในช่วงที่ธุรกิจยังไม่สร้างกำไร ซึ่งเงินสำรองนี้จะช่วยให้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายประจำวัน และสามารถมุ่งเน้นกับการพัฒนาธุรกิจได้อย่างเต็มที่
- ประการที่สอง : คุณควรมีความรู้ และประสบการณ์เพียงพอในธุรกิจที่ต้องการทำ การเป็นมนุษย์เงินเดือนให้โอกาสคุณได้เรียนรู้ และสั่งสมประสบการณ์ในอุตสาหกรรม หรือสายงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งความรู้เหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อคุณเริ่มต้นธุรกิจของตนเอง
- ประการที่สาม : คุณควรทดลองทำธุรกิจควบคู่ไปกับงานประจำก่อน เพื่อทดสอบความเป็นไปได้ และความชอบที่แท้จริง หลายคนคิดว่าชอบการเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่เมื่อลองทำจริงกลับพบว่าไม่เหมาะกับตนเอง การทำธุรกิจเสริมช่วยให้คุณได้เรียนรู้โดยที่ความเสี่ยงยังอยู่ในระดับที่จัดการได้
- ประการสุดท้าย : คุณควรมีแผนธุรกิจที่ชัดเจน และเป้าหมายที่วัดผลได้ การมีแผนที่ดีจะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของธุรกิจ คาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และเตรียมแนวทางแก้ไขไว้ล่วงหน้า
ไม่มีเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทุกคน บางคนอาจพร้อมออกจากงานประจำเพื่อทำธุรกิจเต็มตัวหลังจากทำงานได้เพียง 2 - 3 ปี ในขณะที่บางคนอาจต้องใช้เวลานานกว่านั้น หรือบางคนอาจเลือกทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไปตลอด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย สถานการณ์ทางการเงิน และความพร้อมของแต่ละบุคคล
- สรุปบทความ
การเลือกระหว่างเส้นทางมนุษย์เงินเดือน หรือเจ้าของธุรกิจส่วนตัวไม่ใช่การแข่งขันว่าอาชีพไหนดีกว่ากัน แต่เป็นการพิจารณาว่าอะไรเหมาะสมกับสไตล์ชีวิต เป้าหมาย และบุคลิกภาพของคุณมากกว่า การเป็นมนุษย์เงินเดือนมีข้อดีในแง่ของความมั่นคง รายได้ที่แน่นอน และความเสี่ยงที่ต่ำกว่า ในขณะที่การเป็นเจ้าของธุรกิจมีข้อดีในเรื่องของอิสระ โอกาสรายได้ที่ไม่มีเพดาน และการได้ทำในสิ่งที่รัก หลายคนอาจพบว่าการผสมผสานทั้งสองเส้นทาง เช่น เป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีธุรกิจเสริม อาจเป็นทางเลือกที่ลงตัวที่สุด เพราะช่วยกระจายความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสทางการเงิน สุดท้ายแล้ว ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกเส้นทางไหน แต่ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่น การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และการปรับตัวตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป






