รู้หรือไม่!! ในอดีต "พ่อหลวง" ทรงเคยกำราบฝรั่งไร้มารยาท ด้วยพระราชดำรัสเพียงไม่กี่ประโยค แต่จุกไปถึงทรวง!!

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จะเป็นพระมหากษัตริย์ที่คนไทยและชาวต่างชาติทั่วโลกให้ความเคารพ แต่เคยมีเหตุการณ์หนึ่ง ที่พระองค์ทรงถูกกลุ่มนักศึกษาชาวต่างชาติแสดงกิริยาไร้มารยาท อันไม่บังควรยิ่งต่อพระองค์ ทั้งถือป้ายที่มีข้อความกล่าวร้ายต่อพระองค์ท่าน บ้างก็ส่งเสียงโห่ปนฮาลบหลู่พระเกียรติ และเกียรติภูมิของชาติไทยอย่างแรง ในขณะที่พระองค์เสด็จฯ ในพิธีทูลเกล้าฯ ถวายปริญญานิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ณ มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย แต่ด้วยพระราชธรรมจากความ "ไม่โกรธ" พระองค์ทรงใช้พระปรีชาสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างดีเยี่ยม จนเป็นที่ประจักษ์สู่สายตาชาวโลก

 

 

 

สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งร่วมเสด็จฯ ด้วยในครั้งนั้น ได้ทรงบรรยายภาพไว้ในบทพระราชนิพนธ์ "ความทรงจำในการตามเสด็จต่างประเทศทางราชการ" ตอนหนึ่ง ระบุว่า

 


ถึงเวลาที่พระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จไปพระราชทานพระราชดำรัสที่กลางเวที ยังไม่ทันจะอะไร ก็มีเสียงโห่ดังขึ้นมาจากกลุ่มปัญญาชนข้างนอก 

 

 

ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามือเย็นเฉียบ หัวใจหวิวๆ อย่างไรพิกล รู้สึกสงสารพระเจ้าอยู่หัว จนทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าแม้แต่จะมองขึ้นดูพระพักตร์ท่าน ด้วยความสงสาร และเห็นพระทัย

 

รู้หรือไม่!! ในอดีต "พ่อหลวง" ทรงเคยกำราบฝรั่งไร้มารยาท ด้วยพระราชดำรัสเพียงไม่กี่ประโยค แต่จุกไปถึงทรวง!!

 

 

ในที่สุดฝืนใจมองขึ้นไปเพื่อถวายกำลังพระทัย แต่แล้วข้าพเจ้านั่นเองแหละที่เป็นผู้ได้กำลังใจกลับคืนมา เพราะมองดูท่านขณะที่ประทับยืนกลางเวที เห็นพระพักตร์ทรงเฉย 

 

 

ทันใดนั้นเอง คนที่อยู่ในหอประชุมทั้งหมดปรบมือเสียงสนั่นหวั่นไหวคล้ายจะถวายกำลังพระทัยท่าน พอเสียงปรบมือเงียบลง

 

 

คราวนี้ข้าพเจ้ามองขึ้นไปบนเวทีอีก เห็นพระเจ้าอยู่หัวทรงเปิดพระมาลาที่ทรงคู่กับฉลองพระองค์ครุย แล้วหันพระองค์ไปโค้งคำนับกลุ่มที่ส่งเสียงเอะอะอยู่ข้างนอกอย่างงดงาม และน่าดูที่สุด พระพักตร์ยิ้มนิดๆ พระเนตรมีแววเยาะหน่อยๆ  แต่พระสุรเสียงราบเรียบยิ่งนัก

 

"ขอขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอันมาก ในการต้อนรับอันอบอุ่น และสุภาพเรียบร้อยที่ท่านแสดงต่อแขกเมืองของท่าน"  รับสั่งเพียงเท่านั้นเอง แล้วหันพระองค์มารับสั่งต่อกับผู้ที่นั่งฟังอยู่ในหอประชุม

 

ตอนนี้ข้าพเจ้าอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ ด้วยความสะใจ

 

เพราะเสียงฮานั้นเงียบลงทันทีราวกับปิดสวิทช์ แล้วตั้งแต่นั้นก็ไม่มีอีกเลย ทุกคนทั้งข้านอกข้างในต่างนั่งฟังพระราชดำรัสเฉย ท่าทางดูขบคิด

 

ข้าพเจ้าเห็นว่าพระราชดำรัสวันนั้นดีมาก รับสั่งสดๆ โดยไม่ทรงใช้กระดาษเลย ทรงเล่าถึงวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของไทยเราว่า "เรามีเอกราช มีภาษาของเราเอง มีตัวหนังสือซึ่งคิดค้นใช้ขึ้นเอง เราตั้งกฎหมายการปกครองของเราเอง ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนมา 700 ปี กว่ามาแล้ว"

 

 

…ตอนนี้ข้าพเจ้าขำแทบแย่ เพราะหลังจากรับสั่งว่า …700 ปีกว่ามาแล้ว… ทรงทำท่าเหมือนเพิ่งนึกออก ทรงสะดุ้งนิดๆ และทรงโค้งพระองค์อย่างสุภาพเมื่อตรัสว่า

 

"ขอโทษ…ลืมไป…ตอนนั้นยังไม่มีประเทศออสเตรเลียเลย..."

 

 

แล้วทรงเล่าต่อไปว่า แต่ไหนแต่ไรมาคนไทยเรามีน้ำใจกว้างขวาง พร้อมที่จะให้โอกาสคนอื่นและฟังความเห็นของเขา เพราะเรามักใช้ปัญญาขบคิดไตร่ตรองหาเหตุผลก่อนจึงจะตัดสินว่าสิ่งไรเป็นอย่างไร ไม่สุ่มสี่สุ่มห้าตัดสินอะไรตามใจชอบ โดยไม่ใช้เหตุผล ..."

 


ทั้งนี้ ผลจากการแสดงพระอัจฉริยภาพอย่างสูงในสถานการณ์ดังกล่าว ปรากฏว่าเมื่อเสร็จพิธีแล้ว ผู้ร่วมพิธีต่างเข้ามากราบบังคมทูลสรรเสริญถึงพระราชดำรัสนั้น และสำหรับกลุ่มนักศึกษาที่มีปฏิกิริยาเหล่านั้น ต่างก็มีอากัปกิริยาเปลี่ยนไปหมด บ้างก็มีสีหน้าเฉย ๆ เจื่อน ๆ ดูหลบพระเนตร ไม่มีการมองดูพระองค์อย่างประหลาดอีก แต่บางพวกก็มีน้ำใจเป็นนักกีฬาพอที่จะยิ้มแย้มแจ่มใส โบกมือและปรบมือให้แก่ทั้งสองพระองค์ตลอดทางจนถึงที่รถพระที่นั่งจอดอยู่

 

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงนำความสง่างามมาให้ประเทศไทย และคนไทย ที่มีอารยธรรมมาก่อนประเทศออสเตรเลียในทุกด้าน นี่เป็นความภาคภูมิใจที่เรามีในหลวงที่สมบูรณ์ด้วย “ทศพิธราชธรรม” ทรงเป็นราชาอันเป็นสง่าแห่งแคว้น ทรงมีพระอัจฉริยภาพ พระปฏิภาณ ขันติธรรม ทรงพรั่งพร้อมจริยาวัตรอันงดงาม มีพระเดชานุภาพเป็นที่ปรากฏแก่สายตาชาวโลก

 

 

ขอบคุณ ที่มา : chaoprayanews