- 21 ต.ค. 2559
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา พสกนิกรชาวไทย ร้อยหัวใจหลอมรวมกันเพื่อน้อมเกล้าแสดงความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และน้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย ซึ่งชาวไทยมักจะได้ยิน ได้ฟัง ได้รับรู้ รายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับ "พระเมรุมาศ" ที่ใช้ในการจัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งการออกแบบ "พระเมรุมาศ" ของแต่ละพระองค์จะมีความแตกต่างกันออกไป
โดยทางทีมงานสำนักข่าวทีนิวส์ขออนุญาตรวมรวบ "พระเมรุมาศ" ที่เคยใช้จัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในอดีต จนถึงปัจจุบัน เพื่อเป็นเกร็ดความรู้ให้ชาวไทยได้รับรู้ถึงความเป็นมา เป็นไป ดังนี้
พระเมรุมาศ และพระเมรุ เป็นสถาปัตยกรรมชั่วคราว หรือสถาปัตยกรรมเฉพาะกิจที่สร้างขึ้น ณ กลางใจเมือง คำว่าพระเมรุ ในที่นี้หมายถึง ภูเขาใหญ่ ซึ่ง หมายรวมไปถึงเขาพระสุเมรุ และเขาสัตตบริภัณฑ์ อันประกอบด้วย เขายุคนธร เขาอิสินธร เขากรวิก เขาสุทัศนะ เขาเนมินธร เขาวนิตกะ และเขาอัสกัน ตามความเชื่อในโลกสัณฐานของคนไทย ที่ถ่ายทอดจากพระคัมภีร์ในทางพระพุทธศาสนา ดังนั้นการสร้างพระเมรุมาศจึงหมายถึง พระเมรุที่ได้รับการตก แต่งระดับประดาด้วยทองหรือวัสดุอื่นๆ ที่ให้แสงสีเรืองอร่ามดุจดั่งทอง อาจกล่าวได้ว่าเป็นการจำลองขเพระสุเมรุอันเป็นภพภูมิสวรรค์ ซึ่ง มนุษย์ไม่สามารถไปถึง การถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระศพ ณ พระเมรุมาศ พระเมรุ จึงเปรียบประหนึ่งว่าได้ถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระศพ บนเขาพระสุเมรุนั่นเอง
พระเมรุมาศในสมัยพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระเมรุมาศ (เมรุใหญ่) ซึ่งมีพระเมรุทองอยู่ภายใน เป็นพระเมรุมาศตามแบบโบราณราชประเพณีศรีอยุธยาและรัตนโกสินทร์ องค์สุดท้าย ซึ่งกระบวนแห่มีรูปสัตว์หิมพานต์ตั้งบุษบกไตรสังเค็ดแห่เป็นคู่ๆรวม 40 คู่
พระเมรุมาศพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 เป็นต้นแบบพระเมรุมาศแบบใหม่ครั้งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ครั้งเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระชนม์อยู่ได้ทรงพระราชทานพระกระแสพระราชดำรัสสั่งถึงการพระบรมศพของพระองค์ไว้ดังนี้ "แต่ก่อนมา ถ้าพระเจ้าแผ่นดินสวรรคตลง ก็ต้องปลูกเมรุใหญ่ซึ่งคนไม่เคยเห็นแล้วจะนึกเดาไม่ถูกว่าโตใหญ่เพียงไร เปลืองทั้งแรงคนและเปลืองทั้งพระราชทรัพย์ ถ้าจะทำในเวลานี้ดูไม่สมกับการที่เปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง ไม่เป็นเกียรติยศยืดยาวไปได้เท่าใด ไม่เป็นประโยชน์แก่คนทั้งปวง กลับเป็นความเดือดร้อน ถ้าเป็นการศพท่านผู้มีพระคุณ หรือผู้มีบรรดาศักดิ์ใหญ่ อันควรจะได้มีเกียรติยศ ฉันก็ไม่อาจจะลดทอน ด้วยเกรงว่าคนจะไม่เข้าใจว่า เพราะผู้นั้นประพฤติไม่ดีอย่างหนึ่งอย่างใด จึงไม่ทำการศพให้สมเกียรติยศซึ่งควรจะได้ แต่เมื่อตัวฉันเองแล้วเห็นว่าไม่มีข้อขัดข้องอันใด เป็นถ้อยคำที่จะพูดได้ถนัด จึงขอให้ยกเลิกงานพระเมรุใหญ่นั้นเสีย ปลูกแต่ที่เผาอันพอสมควร ณ ท้องสนามหลวง แล้วแต่จะเห็นสมควรกันต่อไป"
พระเมรุมาศ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6
ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงเปลี่ยนการเวียนรอบพระเมรุ เป็นรถปืนใหญ่แทน ด้วยเป็นไปตามพระราชประสงค์ที่พระองค์โปรดการเป็นทหารสำหรับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จสวรรคตในต่างประเทศ จึงมิได้มีการจัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงตามโบราณราชประเพณี แต่เป็นงานบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมอัฐิ
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลสวรรคต จึงได้จัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพตามแบบโบราณราชประเพณี มีการนำราชรถและพระราชยานที่ส่วนใหญ่มีสภาพชำรุดมาปฏิสังขรณ์ หลังจากถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว โปรดให้ใช้พระเมรุนี้ในงานถวายพระเพลิงพระศพพระบรมวงศานุวงศ์อีก 4 พระองค์คือ สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต, สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์ และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาพรรณพิไลย เพียงแต่ต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับพระอิสสริยศของแต่ละพระองค์
พระเมรุมาศสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
พระเมรุสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นกุฎาคารเรือนยอดประธานมณฑล สร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันตก เป็นพระเมรุทรงปราสาทจัตุรมุขย่อมุมไม้สิบสอง ยอดปักพระสิปตปฎลเศวตฉัตรจากฐานถึง ยอดฉัตรสูง 37.85 เมตร กว้าง 31.80เมตร ยาว 39.80 เมตร สร้างด้วยไม้ โครงสร้างภายในเป็นเหล็ก ประดับด้วยกระดาษทองย่นตกแต่งด้วยลวดลาย ฐานพระเมรุ จัดทำเป็น 2 ระดับ มีบันไดทอดถึงตลอดทั้ง 4 ทิศ ระดับแรกเรียกว่า ฐานชาลา ประดับด้วยรูปเทวดานั่งคุกเข่า พระหัตถ์ถือบังแทรกตรงกลางเป็นโคมไฟ ประดับตามพนักฐานชาลา ด้านในมีรูปเทวดา ประทับยืนถือฉัตรเครื่องสูงรายรอบ ระดับที่สองหรือฐานบนเรียกว่า ฐานพระเมรุเป็นฐานสิงห์ มีบันไดทางขึ้นจากฐานชาลาทั้ง 4 ทิศ
โถงกลางใหญ่ตั้งพระ จิตกาธานขนาดใหญ่สำหรับประดิษฐานพระโกศ เพื่อถวายพระเพลิง ทางด้านทิศเหนือของพระจิตกาธาน มีรางยื่นออกไปนอกมุขเป็นสะพานเกริน เพื่อใช้เป็นที่เคลื่อน พระโกศจากพระยานมาศสามลำคานขึ้นบนพระเมรุ