- 10 พ.ย. 2559
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th
หลังจากเมื่อวันที่ 8 พ.ย. ที่ผ่านมาได้มีช้าง 11 เชือกจาก มูลนิธิพระคชบาล วังช้างอยุธยาแลเพนียด พร้อมด้วยกลุ่มบุคคลในนามคชสารคู่แผ่นดินกว่า 200 คน เดินทางไปถวายสักการะและถวายความอาลัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่บริเวณหน้าประตูมณีนพรัตน์ พระบรมหาราชวัง หลายๆคนอาจจะยังไม่ทราบประวัติ และความสำคัญของช้างและพระมหากษัตริย์ว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีมาแต่สมัยโบราณนั้นเป็นอย่างไร วันนี้ทีมข่าวภูมิภาคที่นิวส์ จะได้นำเสนอข้อมูลอันเป็นประโยชน์และเป็นความรู้
ช้างไทยในประวัติศาสตร์นั้น เล่าขานกันว่า สมัยโบราณมีการใช้ช้างในการทำสงคราม ซึ่งถือว่าช้างนั้นเป็นกำลังสำคัญในการสู้ศึกเพื่อเอกราชของไทย วิธีการต่อสู้เอาไว้ว่าพระเจ้าแผ่นดินหรือแม่ทัพก็จะใช้อาวุธของ้าวต่อสู้กันบนหลังช้าง ช้างศึกในสมัยโบราณนั้นมีมากมายหลายรัชสมัย โดยเริ่มจากสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมื่อครั้งสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถในสมัยนี้พระองค์ได้รับช้างเผือกมาตัวหนึ่งซึ่งถือเป็นช้างเผือกแรกของกรุงศรีอยุธยา ทั้งนี้ในแต่ละรัชกาลตั้งแต่สมัยโบราณจะมีช้างซึ่งเป็นสัตว์ที่ช่วยเสริมบารมีของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ตามความเชื่อในทางพระพุทธศาสนาที่ว่าพระพุทธเจ้าทรงเสวยราชย์เป็นพระยาช้างที่มีบุญบารมีมากว่า 500 ชาติ จึงถือได้ว่าช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของคนไทย
โดยนับตั้งแต่นั้นมาพระมหากษัตริย์ไทยทั้ง 9 รัชกาล จะมีช้างคู่พระบารมีประจำรัชกาล ดังนี้
กรุงรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ช้าง 10 เชือก คือ พระบรมไกรสร ( บวรสุประดิษฐ) พระบรมไกรสร ( บวรบุษปทันต์ ) พระอินทรไอยรา พระเทพกุญชร พระบรมฉัททันต์ พระบรมนัขมณี พระบรมคชลักษณ์ ( อรรคคเชนทร์ ) พระบรมนาเคนทร์ พระบรมคชลักษณ์ ( อรรคชาติดามพหัตถี ) พระบรมเมฆเอกทนต์
รัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีช้าง 6 เชือก คือ พระยาเศวตกุญชร พระบรมนาเคนทร์ พระบรมหัศดิน พระบรมนาเคนทร์ ( คเชนทรธราธาร ) พระยาเศวตไอยรา พระยาเศวตคชลักษณ์
รัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีช้างเผือกอยู่ 20 เชือก คือ พระบรมคชลักษณ์ พระบรมไอยรา พระบรมนาเคนทร์ พระบรมเอกทันต์ พระยามงคลหัสดิน พระยามงคลนาคินทร์ พระบรมไกรสร พระบรมกุญชร พังหงษาสวรรค์ พระนัขนาเคนทร์ พระบรมไอยเรศ พระบรมสังขทันต์ พระบรมคชลักษณ์ ( ศักดิสารจุมประสาท ) พระบรมนขาคเชนทร์ พระนาเคนทรนขา พระบรมทัศนขา ช้างพลายสีประหลาด พระบรมศุภราช พระยามงคลคชพงศ์ ช้างพลายกระจุดดำ
รัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีช้าง 15 เชือก คือ พระบรมนัขสมบัติ พระวิมลรัตนกิริณี พระบรมคชรัตน พระวิสูตรรัตนกิริณี พระพิไชยนิลนัข พระพิไชยกฤษณาวรรณ พระศรีสกลกฤษณ์ พระมหาศรีเศวตวิมลวรรณ ช้างพังเผือกเอก พระเศวตสุวรรณาภาพรรณ ช้างพัง เผือกเอก พระเทวสยามมหาพิฆเนศวร ช้างสีประหลาด เจ้าพระยาปราบไตรจักร พระยาไชยานุภาพ
รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีช้าง 19 เชือก คือ พระเศวตวรวรรณ พระมหารพีพรรณคชพงษ์ พระเศวตสุวภาพรรณ พระเทพคชรัตนกิริณี พระศรีสวัสดิเศวตวรรณ พระบรมทันตวรลักษณ์ พระเศวตวรลักษณ์ พระเศวตวรสรรพางค์ พระเศวตวิสุทธิเทพา พระเศวตสุนทรสวัสดิ์ พระเศวตสกลวโรภาศ พระเศวตรุจิราภาพรรณ พระเศวตวรนาเคนทร์ ช้างพลายเผือกเอก พระศรีเศวตวรรณิภา พระเศวตอุดมวารณ์ ช้างพลายสีประหลาด 2 เชือก เจ้าพระยาไชยานุภาพ
รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ช้าง พระเศวตวชิรพาหะ
รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ช้าง พระเศวตคชเดชน์ดิลก
รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มีช้างเผือก 10 เชือก คือ พระเศวตอดุลยเดชพาหน พระเศวตวรรัตนกรี พระเศวตสุรคชาธาร พระศรีเศวตศุภลักษณ์ พระเศวตศุทธวิลาศ พระวิมลรัตนกิริณี พระศรีนรารัฐราชกิริณี พระเศวตภาสุรคเชนทร์ พระเทพรัตนกิริณี พระบรมนขทัศ
อย่างไรก็ตามในสมัยโบราณจะมีการคล้องช้างป่าที่มีลักษณะดีตามตำราคชลักษณ์และนำมาถวายแก่พระมหากษัตริย์เพื่อเป็นช้างเผือกคู่พระบารมี และความสงบร่มเย็นของบ้านเมือง เมื่อมีช้างสำคัญเข้ามาสู่ราชสำนัก พระมหากษัตริย์จะโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างเผือกหรือช้างต้น พร้อมพระราชทานนามและยศเป็นพระยาช้างต้นหรือนางพระยาช้างต้นประจำรัชกาล ช้างเผือกที่เข้าพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางแล้ว จะได้รับพระราชทานเครื่องยศที่เรียกว่า เครื่องคชาภรณ์ เพื่อเป็นเครื่องประดับตกแต่ง พร้อมกับพระราชทานเครื่องยศที่เป็นเครื่องอุปโภคสำหรับช้างต้น โดยความหมาย คำว่า “คชาภรณ์” หมายถึง “เครื่องประดับช้าง” ประกอบด้วย ผ้าปกกระพอง พู่หู ทามคอ พานหน้า พานหลัง สำอาง พนาศ เสมาคชาภรณ์ และเครื่องยศ5 เครื่องคชาภรณ์จะแตกต่างกันไปตามลำดับชั้นยศของช้างต้น และความเหมาะสมในการใช้งาน
สำหรับเครื่องคชาภรณ์พระเศวตอดุยเดชพาหนฯ สืบเนื่องจากเมื่อปี พ.ศ.2501 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้รับการน้อมเกล้าฯ ถวายช้างเผือกที่มีคชลักษณะหรือลักษณะพิเศษที่เป็นมงคล คือ มีสีกายดังดอกโกมุท หรือบัวสายแดง จากนายแปลก ราษฎรจังหวัดกระบี่ เป็นผู้คล้องได้ในป่าจังหวัดกระบี่ หลังจากนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกอบพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวาง เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2502 ณ โรงช้างต้น พระราชวังดุสิต ได้พระราชทานเครื่องคชาภรณ์เป็น เครื่องกุดั่น และพระราชทานนามช้างเผือกว่า “พระเศวตอดุลยเดชพาหน ภูมิพลนวนาถบารมี ทุติยเศวตกรีกมุทพรรโณภาส บรมกมลาสนวิศุทธวงศ์ สรรพมงคลลักษณคเชนทรชาต สยามราษฎรสวัสดิประสิทธิ์ รัตนกุญชรนิมิตบุญญาธิการ ปรมินทร บพิตรสารศักดิ์เลิศฟ้า” เป็นพระยาช้างต้นในรัชกาลปัจจุบัน โดยพระเศวต อดุลยเดชพาหนฯ ถือเป็นช้างเผือกที่เข้ามาเป็นช้างแรกในสมัยรัชกาลที่ 9
ทั้งนี้ เครื่องคชาภรณ์พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ชุดนี้ ประกอบด้วย
1.ผ้าปกกระพอง ทำด้วยผ้าเยียรบับลายทองพื้นแดง เย็บเป็นแผ่นรูปทรงคล้ายกลีบบัว ชายขอบผ้าทำเป็นริ้วลายทองพื้นเขียวอยู่ด้านใน พื้นแดงอยู่ด้านนอก 2 ริ้ว ขลิบริมด้วยดิ้นเลื่อม ส่วนฐานของกลีบบัวเชื่อมต่อกับตาข่ายแก้วกุดั่น
2.ตาข่ายแก้วกุดั่นหรืออุบะแก้วกุดั่น ทำด้วยลูกปัดแก้ว (เพชรรัสเซีย) เจียระไน ร้อยด้วยสายทองคำถัก เป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว หรือที่เรียกกันว่า อุบะหน้าช้าง มีความยาวด้านละ 100 ซ.ม. เท่ากันทั้งสองด้าน ระยะจากปลายยอดสามเหลี่ยมถึงฐานกลีบบัว กว้าง 87 ซ.ม. จุดที่สายทองคำถักร้อยลูกปัดแก้วประสานตัดกันเป็นตาข่าย ทุกจุดประดับด้วยดอกลายประจำยามทองคำประดับพลอยสีเขียว สีแดง และสีขาวห้อยด้วยพวงอุบะทองคำประดับพลอยสีแดงและสีขาว
3.พู่หู สำหรับเครื่องคชาภรณ์อดุลยเดชพาหนฯทำด้วยขนหางจามรีสีขาว ใช้ห้อยจากผ้าปกกระพอง ลงมาอยู่ส่วนหน้าของใบหูทั้งสองข้าง ในการประกอบเป็นตัวพู่หรือลูกพู่ เบื้องต้นต้องทำแกนด้วยผ้าขาวเป็นรูปดอกบัวตูม มีเชือกหุ้มผ้าตาดทองต่อจากขั้วแกน เพื่อใช้ผูกกับผ้าปกกระพอง ต่อจากนั้นเย็บขนจามรีประกอบเข้ากับแกนที่เตรียมไว้ จำนวน 2 พู่ พู่หรือลูกพู่นี้เมื่อเย็บขนจามรีเสร็จแล้วจะมีรูปทรงคล้ายดอกบัว
4.ผ้าคลุมพู่ ทำด้วยผ้าเยียรบับรูปดาวหกแฉก ใช้คลุมบนขั้วพู่จามรี โดยเจาะรูตรงกลางเพื่อใช้เป็นที่ร้อยเชือก ขอบผ้าริมนอกขลิบด้วยผ้าตาดทอง ริมในขลิบด้วยผ้าสีแดง
5.จงกลพู่ เป็นส่วนที่ใช้ครอบบนขั้วพู่ทับอยู่บนผ้าคลุมพู่ ทำด้วยทองคำบุดุนลงยาสีเขียว และสีแดง ทำเป็นลายดอกบัวคว่ำ ปลายกลีบดอกบานออกเล็กน้อย ลักษณะรูปทรงคล้ายกรวย
6.เสมาคชาภรณ์ เป็นจี้หรือเครื่องประดับรูปใบเสมาสำหรับร้อยสายสร้อยผูกคอ ทำด้วยทองคำลงยา ด้านหน้าบุดุนเป็นรูปพระราชลัญจกร พระมหามงกุฎอุณาโลม ยอดพระมหามงกุฎเปล่งรัศมี ด้านข้างพระมหามงกุฎกระนาบด้วยลายช่อดอกลอยใบเทศ มีลายประดับรับส่วนล่าง กรอบใบเสมาบุดุนเป็นลายรูปพญานาค 2 ตัว ใช้หางเกี่ยวกัน ส่วนบนของใบเสมาตีปลอกบุ ดุนลายลวดลายลงยา มีลูกปัดทองทรงกลมกลวงสำหรับสอดร้อยด้วยสายสร้อยทองคำ
7.สร้อยคอ หรือสายสร้อยผูกคอทำด้วยทองคำเป็นรูปห่วงเกลียว ยาวประมาณ 258 ซ.ม.
8.ตาบ หรือ ตาบทิศ เป็นเครื่องประดับติดอยู่กับพานหน้า และพานหลัง ทำด้วยทองคำบุดุนฉลุลายดอกประจำยามประดับพลอยสีเขียว สีแดง และสีขาว รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส สำหรับประดับพานหน้า ส่วนที่อยู่ใกล้กับไหล่ 2 ข้าง และประดับพานหลัง ส่วนที่อยู่ใกล้ตะโพก 2 ด้าน รวม 4 ดอก
9.วลัยงา หรือ สนับงา เป็นเครื่องประดับงา ใช้สวมงาทั้ง 2 ข้าง ๆ ละ 3 วง รวม 6 วง ทำด้วยทองคำบุดุนประดับพลอยสีเขียว สีแดง และสีขาว
10.สำอาง เป็นห่วงคล้องอยู่ส่วนท้ายช้างใต้โคนหางเพื่อยึดกับพานหลังทำด้วยทองเหลืองชุบทองมีลายประดับทำด้วยวิธีพิมพ์แกะลายบริเวณที่เป็นรูปขอ
11.ทามคอ พานหน้า พานหลัง ทำด้วยผ้าถักแบบสายพานหุ้มด้วยผ้าตาดทอง มีห่วงโลหะชุบทองเป็นตัวเกี่ยวประสานผูกด้วยเชือกหุ้มผ้าตาดทองทุกเส้น
12.พนาศ เป็นผ้าคลุมหลังช้างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าทำด้วยผ้าเยียรบับ ท้องผ้าเป็นลายทองพื้นเหลือง ตามสีประจำวันพระราชสมภพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ล้อมด้วยผ้าตาดทองพื้นแดงด้านหลังผ้าเยียรบับ ชายขอบผ้าชั้นนอกขลิบด้วยดิ้นทอง ตรงกลางท้องผ้าติดคันชีพ ทำเป็นกระเป๋าผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม ขลิบริมด้วยดิ้นทองทั้ง 4 ด้าน ตรงกลางปักลายพระราชลัญจกรพระมหามงกุฎอุณาโลมด้วยไหมเหลือง ที่คันชีพทั้ง 2 ข้าง ติดเม็ดดุมทำด้วยแก้วเจียระไนสายคล้องดุมทำด้วยทองคำ ขอบชายผ้าต่อจากคันชีพลงไปมีผ้าระบายซ้อน 3 ชั้น แต่ละชั้นขลิบด้วยดิ้นทองตกแต่งด้วยตุ้งติ้ง
กล่าวได้ว่าเครื่องคชาภรณ์ชุดนี้เป็นเครื่องยศคชาภรณ์ช้างต้นที่งดงาม โดยส่วนที่ทำด้วยทองคำมีน้ำหนักประมาณ 6 กิโลกรัม เหมาะสมกับร่างกายที่สมบูรณ์ใหญ่โตของพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ซึ่งเป็นช้างเผือกคู่พระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างยิ่ง นับเป็นช้างต้นช้างแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ที่ได้รับพระราชทานเครื่องคชาภรณ์ชุดที่ 2 สำหรับพระยาช้างต้นที่เจริญวัยแล้ว ภายหลังจากพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ล้มลงเมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ.2553 ณ โรงช้างต้น พระราชวังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สำนักพระราชวังนำเครื่องคชาภรณ์พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ชุดนี้ ส่งมอบให้สำนักทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดิน กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2556เพื่อเก็บรักษาและเตรียมนำออกจัดแสดงให้ประชาชนได้ชมต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก ศาลาเครื่องราชอิสริยยศ ,สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง
เรียบร้อยจาก รัตติยา ทีมข่าวภูมิภาคทีนิวส์




