- 03 ธ.ค. 2559
ติดตามข่าวสาร www.tnews.co.th
ขณะเดียวกันก็ต้องถือว่าวันนี้อีกหนึ่งวาระสำคัญที่จะสากลโลกได้ประจักษ์ชัดถึงความมั่นคงในสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย ซึ่งยืนยาวสืบเนื่องมานานตั้งแต่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ทรงสถาปนาราชวงศ์โดยการปราบดาภิเษกเมื่อ พ.ศ. 2325
และถือเป็นยุคเริ่มต้นราชวงศ์จักรีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ยาวนานกว่า 234 ปี แผ่นดินไทยมีพระมหากษัตริย์ปกครองมาแล้ว 9 พระองค์ และกำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของรัชกาลที่ 10 สืบเนื่องต่อไป
ซึ่งพระมหากษัตริย์ทั้ง 10 พระองค์นั้น แต่ละพระองค์นั้นทรงมีพระปรีชาสามารถในด้านต่างๆแตกต่างกันอย่าง ทั้งพระมหากษัตริย์นักรบ และพระมหากษัตริย์นักพัฒนา
ภายหลังที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ได้ทรงเริ่มย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีมายังเขตพระนคร เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325
มีที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่นํ้าเจ้าพระยา และมีพื้นที่กว้างขวางเป็นชัยภูมิที่เหมาะแก่การป้องกันตัวเองจากข้าศึก
อย่างไรก็ตามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ก็ยังมีศึกสงครามกับอริราชศัตรูเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะกับสงครามยิ่งใหญ่ที่หลายคนรู้จักในนามสงครามเก้าทัพ
จากรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งครองราชสมบัติได้ 27 ปีเศษ
กรุงรัตนโกสินทร์ได้เข้าสู่รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบรมราชโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และถือทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยองค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์จักรี
ในยุคสมัยนี้ต้องถือว่ามีความเจริญรุ่งเรือยิ่งในเรื่องวัฒนธรรมประเพณี โดยเฉพาะบทพระราชนิพนธ์ ควบคู่ไปกับการเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศ ทั้งชาติเอเชียและต่างชาติตะวันตก ทั้งสหรัฐ อังกฤษ และโปรตุเกส
ต่อมาในช่วงรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระปรมาธิวรเสษฐ์มหาเจษฎาบดินทร์ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์ 26 ปี นับตั้งแต่ พ.ศ. 2367-2394 พระชนมายุ 64 พรรษา และถือเป็นยุคของการฟื้นฟูบูรณะเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง มีการปฎิสังขรณ์วัดวาอาราม การศึกษาพระปริยัติธรรม การตั้งธรรมยุติกนิกาย และมีการเผยแพร่ศาสนาอื่นเข้ามาในไทยจำนวนมาก
ในช่วงพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฏฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงครองราชย์ 16 ปี พ.ศ. 2394 – 2411 พระชมมายุ 66พรรษา
และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งยุคทองของกรุงรัตนโกสินทร์
เนื่องจากพระองค์ท่านมีพระราชกรณียกิจสำคัญ ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อแผ่นดินเกิดขึ้นมากมาย อาทิ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีเลิกทาส การป้องกันการเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และจักรวรรดิอังกฤษ ได้มีการประกาศออกมาให้มีการนับถือศาสนาโดยอิสระในประเทศ โดยบุคคลศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม โดยพสกนิกรแต่ละคนสามารถปฏิบัติการในศาสนาได้อย่างอิสระ
นอกจากนี้ได้มีมีการนำระบบจากทางยุโรปมาใช้ในประเทศไทย ได้แก่ระบบการใช้ธนบัตรและเหรียญบาท ใช้ระบบเขตการปกครองใหม่ เช่น มณฑลเทศาภิบาล จังหวัดและอำเภอ และยังได้มีการก่อสร้างรถไฟ สายแรก คือ กรุงเทพฯ ถึง เมืองนครราชสีมา ลงวันที่ 1 มีนาคม ร.ศ.109 ซึ่งตรงกับ พุทธศักราช 2433
ที่สำคัญในยุครัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังเป็นช่วงเวลาที่แผ่นดินต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางการเมืองอย่างหนัก จากการรุกรานของชาติมหาอำนาจซึ่งรุกคืบเข้ายึดครองอาณาเขตโดยรอบราชอาณาจักรสยามจนหมดสิ้น
ยกเว้นแผ่นดินในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยพระองค์ทรงพระวิริยะ อุตสาหะในการป้องการรุกรานของชาติตจะวันตกอย่างถึงที่สุด ดังปรากฏในราชพงศาวดารว่า ราชอาณาจักรไทยต้องสูญเสียแผ่นดินบางส่วนให้กับชาติตะวันตกไปเพื่อแลกกับการธำรงไว้ซึ่งเอกราชของราชอาณาจักร
จะเห็นได้ว่าแต่ละรัชสมัยแห่งราชวงศ์จักรี พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ต่างทุ่มเทพระวรกายในการทำนุบำรุงรักษาไว้ซึ่งเอกราชแผ่นดิน ตลอดจนการพัฒนาความเจริญก้าวหน้า และความผาสุขของปวงพสกนิกรอย่างที่สุด
โดยพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีองค์ที่ 6 คือ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชโอรสพระองค์ที่ 29 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จดำรงราชสมบัติรวม 15 ปีรวมพระชนมพรรษา 45 พรรษา
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชอัจฉริยภาพและทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในหลายสาขา ทั้งด้านการเมืองการปกครอง การทหาร การศึกษา การสาธารณสุข การต่างประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือด้านวรรณกรรมและอักษรศาสตร์ ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทร้อยแก้วและร้อยกรองไว้นับพันเรื่อง กระทั่งทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาเมื่อเสด็จสวรรคตแล้วว่า "สมเด็จพระมหาธีราชเจ้า"
ขณะที่รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 76 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5และถือเป็นยุคหนึ่งที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมือง การปกครองประเทศไทย เนื่องจากการช่วงเวลาที่ประเทศมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย
โดยหลังจากที่พระองค์ทรงครองราชย์ได้ 7 ปี ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบบประชาธิปไตยขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยบุคคลคณะหนึ่งซึ่งชื่อว่า "คณะราษฎร" มีพระยาพหลพลพยุหเสนากับพวก เป็นผู้ก่อการยึดอํานาจการปกครองประเทศ
ซึ่งพระองค์ได้ยอมรับรองอํานาจของคณะราษฎร ที่จะจํากัดพระราชอภิสิทธิของพระองค์ เนื่องจากคณะราษฎรได้ให้คํามั่นสัญญาแก่ประชาชนชาวไทยว่าจะแก้ไขภาวะทางเศรษฐกิจที่ตกตํ่าให้ดีขึ้น
จากนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวให้ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 และได้พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวรให้เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475
ไม่เท่านั้นเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงตัดสินพระทัย สละราชสมบัติ ดังพระราชหัตถเลขา ที่ทรงลาออกจากราชบัลลังค์ มีความตอนหนึ่งว่า
"ข้าพเจ้ามีความเต็มใจ ที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิม ให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของ ข้าพเจ้าให้ แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจ โดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียง อันแท้จริงของ ประชาราษฎร" ก่อนเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 ด้วยโรคพระหทัยพิการ ณ ประเทศอังกฤษ
นอกจากจะเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีไม่ได้ทรงแค่เอาใจใส่อาณาประชาราษฎร์เท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงไม่ยึดติดในพระราชอำนาจ และพระราชสถานะเหมือนกับราชวงศ์ใด ๆ ในสากลโกลที่ล่มสลายไปก่อนหน้า
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ประชาชนทั้งแผ่นดินมีความรักผูกพันกับพระมหากษัตริย์แห่งวงศ์จักรีเช่นเดิมนับตั้งแต่แรกเริ่มสถาปนาราชวงศ์จักรีขึ้นมา
โดยเฉพาะพระมหากษัตริย์แห่งราชสกุล “มหิดล” หรือ รัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร พระโอรสในสมเด็จสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) และ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
โดยเสด็จขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 8 แห่งราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 ขณะที่มีพระชนมายุเพียง 8 พรรษาและประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดังนั้น จึงมีการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินจนกว่าพระองค์จะทรงบรรลุนิติภาวะ
แต่ด้วยการเกิดเหตุไม่คาดฝัน เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตด้วยทรงต้องพระแสงปืนเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ณ ห้องพระบรรทม พระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง รวมระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติทั้งสิ้น 12 ปี
พี่ฟาง---ซึ่งก็เป็นที่มาต้องทำให้รัฐบาลตัดสินใจกราบบังคมทูลอัญเชิญ พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งมีพระชนมพรรษาเพียง 18 พรรษา กราบขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์
สำคัญยิ่งตลอดรัชสมัยของพระองค์ ได้ทรงพระราชกรณียกิจและพระราชทานแนวพระราชดำริดพื่อพสกนิกรของพระองค์มากมายกว่า 4,000 โครงการ ทั้งการแพทย์สาธารณสุข การเกษตร การชลประทาน การพัฒนาที่ดิน การศึกษา การพระศาสนา การสังคมวัฒนธรรม การคมนาคม ตลอดจนการเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรในชนบท
จนประชาชนคนไทยยกย่องพระองค์ท่านเปรียบเป็นองค์พ่อหลวงของแผ่นดิน และทำให้ประเทศไทยมีความเป็นปึกแผ่น ยากที่คนคิดร้ายจะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี อันเป็นที่เคารพสูงสุดเสื่อมสลายและถูกทดแทนให้ระบอบการปกครองแบบอื่น ๆ เหมือนเช่นในหลายประเทศที่เคยมีสถาบันพระมหากษัตริย์แล้วสูญสลายไปกลายเป็นระบอบสาธารณรัฐ
ซึ่งในวันนี้ประเทศไทยก็ก้าวเข้าสู่รัชกาลที่ 10 แห่งราชวงศ์จักกรีเป็นที่ทราบกันดีว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงสนพระราชหฤทัยในด้านการทหาร มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
รวมทั้งพระองค์ได้จบการศึกษาด้านการทหารจากประเทศออสเตรเลียและทรงรับราชการทหารมาโดยตลอด ซึ่งเห็นได้จากพระราชกรณียกิจต่าง ๆ
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเป็นอเนกอนันต์ อันเป็นคุณูปการยิ่งแก่พสกนิกรชาวไทย ทรงเปี่ยมด้วยพระปรีชาสามารถ และพระอัจฉริยภาพหลากหลายด้าน รวมถึงด้านการบินและการทหาร
สมเด็จพระบรมโอรสธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงสนพระทัยด้านอากาศยานและการบินตั้งแต่ทรงพระเยาว์ พุทธศักราช 2515 ทรงเข้าศึกษาในวิทยาลัยการทหารชั้นสูงที่วิทยาลัยการทหารดันทรูน กรุงแคนเบอร์รา
ทรงเริ่มทำการบินตามหลักสูตรการฝึกบินเฮลิคอปเตอร์ของโรงเรียนการบิน กองทัพอากาศ เมื่อ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๒๒ พระองค์เริ่มทำการบินเฮลิคอปเตอร์แบบยูเอช-๑ เอช และเฮลิคอปเตอร์แบบยูเอช-๑ เอ็น เมื่อสำเร็จตามหลักสูตรทรงขึ้นรับพระราชทานประดับเครื่องหมายแสดงความสามารถในการบินของกองทัพอากาศจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปีนั้นเองยังทรงสำเร็จหลักสูตรเฮลิคอปเตอร์โจมตีติดอาวุธ (Gunship) ของกองทัพบกรวม ๒ เดือน
ในช่วงปี ๒๕๒๓ ขณะติดตามสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐฯ ทรงเข้ารับการฝึกบินเฮลิคอปเตอร์แบบยูเอช-๑ เอช ของกองทัพบกสหรัฐฯ ที่นอร์ธแคโรไลนา และปี ๒๕๒๕ เสด็จยังฐานทัพอากาศวิลเลียม รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา
ทรงฝึกศึกษาเครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูงแบบเอฟ ๕ อี/เอฟ และทรงเข้ารับการฝึกบินในหลักสูตรการบินรบชั้นสูง (Advance Fighter Course) กับเครื่องเอฟ ๕ ดี/เอฟ ที่กองบิน ๑ ฝูง ๑๐๒ จนสำเร็จตามหลักสูตร มีชั่วโมงบินทุกประเภทรวมกันกว่า ๑,๐๐๐ ชั่วโมง
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มิได้ทรงละเลยการฝึกบินแบบใหม่ๆ โดยทรงเข้ารับการฝึกบินกับเครื่องบินใบพัดแบบมาร์คเคตตี้ของฝูงขั้นปลาย โรงเรียนการบิน กองทัพอากาศ และฝึกบินกับเครื่องบินไอพ่นแบบที ๓๗ กับแบบที ๓๓ และจบหลักสูตรนักบินขับไล่ไอพ่นสมรรถนะสูงกับเครื่องบินขับไล่แบบเอฟ ๕ อี/เอฟ ของกองบิน ๑ ฝูงบิน ๑๐๒ รวมชั่วโมงบิน ๒๐๐ ชั่วโมง ด้วยความสนพระทัยอย่างมาก จนกระทั่งทรงพร้อมรบและครบ ๑,๐๐๐ ชั่วโมง เมื่อ ๑๗ เมษายน ๒๕๓๒ อีกทั้งยังทรงเข้าร่วมการแข่งขันใช้อาวุธทางอากาศประจำปี โดยทรงทำคะแนนได้สูงตามกติกา กองทัพอากาศจึงทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องหมายความสามารถในการใช้อาวุธทางอากาศชั้นที่ ๑ ประเภทอาวุธระเบิดสี่ดาว อาวุธจรวดสี่ดาว และอาวุธปืนสี่ดาว
ด้านการทหารนั้นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมที่ตั้งกองทหารหน่วยต่าง ๆ อยู่เสมอ จากการที่ได้ทรงศึกษาด้านวิชาทหารมานาน ทรงมีความรู้เชี่ยวชาญอย่างมาก และได้พระราชทานความรู้เหล่านั้นให้แก่ทหาร 3 เหล่าทัพ ทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างแก่นายทหาร เอาพระทัยใส่ในความเป็นอยู่ทุกข์สุขของทหารผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาอย่างทั่วถึง รวมทั้งพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เป็นทุนการศึกษาแก่บุตรของทหาร สิ่งเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดความเทิดทูนและความจงรักภักดีแก่เหล่าทหารเป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งการรับราชการของพระองค์ท่านมีดังนี้
ทรงเข้าประจำการ ณ กองปฏิบัติการทางอากาศพิเศษ เมืองเพิร์ท รัฐออสเตรเลียตะวันตก ประเทศออสเตรเลีย
ทรงเข้าร่วมปฏิบัติการรบในการต่อต้านการก่อการร้าย บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งการคุ้มกันพื้นที่บริเวณ รอบค่ายผู้อพยพชาวกัมพูชา ณ เขาล้าน จังหวัดตราด
9 ธันวาคม พ.ศ. 2518 ทรงเข้ารับราชการเป็นนายทหารประจำกรมข่าวทหารบกกระทรวงกลาโหม
6 ตุลาคม พ.ศ. 2521 ทรงดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับกองพันทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2523 ทรงดำรงตำแหน่งผู้บังคับกองพัน ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2527 ทรงดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับการ กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์
30 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการ ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์
9 มกราคม พ.ศ. 2535 ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ สำนักผู้บัญชาการทหารสูงสุด
พระราชกรณียกิจทางด้านการทหารครั้งสำคัญที่ทำให้ปวงชนชาวไทยจดจำได้ไม่ลืมเลือน คือการที่พระองค์เสด็จฯเยี่ยม ทหาร ตำรวจ และอาสาสมัคร ที่ปฏิบัติหน้าที่ป้องกันชายแดน คุ้มครองบ้านหมากแข้ง ตำบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เมื่อวันที่ 5 - 6 พฤศจิกายน 2519 ซึ่งบ้านหมากแข้งเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้วนั้น เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่สีแดงอีกจุดหนึ่ง เนื่องจากมีการปะทะกันอย่างหนัก
พระองค์ได้เสด็จฯ นำกำลังทหารออกปฏิบัติการ ทรงเข้าร่วมปฏิบัติการรบในการต่อต้านการก่อการร้ายในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และประทับแรมที่ฐานปฏิบัติการของทหาร จากนั้นในรุ่งเช้าได้เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรที่บ้านเรือนเสียหายจากการต่อสู้ พร้อมทั้งได้รับสั่งให้มีการซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพดีด้วย สร้างความปีติยินดีแก่ราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง ตลอดจนสร้างขวัญกำลังใจแก่ราษฎรชาวบ้านหมากแข้ง ทหารหาญ ให้มีใจฮึกเหิมต่อสู้ภัยก่อการร้ายดังกล่าวเป็นอย่างมาก
นอกเหนือจากความกล้าหาญของพระองค์แล้ว ในพระราชกรณียกิจครั้งนั้น ยังปรากฏภาพในขณะที่พระองค์ทรงพักผ่อนและเสวยพระกระยาหารอย่างเรียบง่าย โดยมีเพียงช้อนสังกะสี 1 คัน จานสังกะสีเพียง 1 จานเท่านั้น และเสวยเคียงข้างเหล่าทหารชั้นผู้น้อย อย่างไม่ถือพระองค์แม้แต่นิดเดียว
แม้จะเป็นพระราชภารกิจที่ต้องทรงเสี่ยงภยันตราย แต่ด้วยความที่ทรงเป็นชาติชายทหาร และเป็นพระราชภารกิจเพื่อความผาสุกของพสกนิกร และเพื่อมนุษยธรรมต่อผู้ประสบทุกข์ยาก จึงทรงปฏิบัติพระราชภารกิจดังกล่าวโดยเต็มพระราชกำลัง
เรียบเรียงโดย : วัสดา สำนักข่าวทีนิวส์