- 18 พ.ค. 2560
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
วันที่ 18 พฤษภาคม 2560 นายพิเชฏฐ์ ศรีนุ่น ผู้อำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดทางน้ำ ทางทะเล และชายฝั่ง กรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยความคืบหน้าหลังใช้เวลาตามคำขออนุญาตที่นำหมายศาลเข้าตรวจค้นเผชิญสืบหาข้อเท็จจริงใช้เวลา ระหว่างวันที่ 16-18พฤษภาคม 2560 เพื่อทำคดีของกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ได้รับเป็นคดีพิเศษเลขที่ 17/2559 โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ปฏิบัติการร่วมกับ ตำรวจ-ทหาร จาก มทบ.36 และกองทัพภาคที่ 3 รวมถึงเจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ซึ่งผลจากการดำเนินการตรวจเขตบัตรเหมืองแร่ทองคำจำนวน 13 แปลง ครอบคลุมพื้นที่ 4,200 ไร่ โดยการเดินสำรวจภาคพื้นดินและใช้โดรนหรืออากาศยานไร้คนขับ ถ่ายรูปบันทึกภาพหาจุดพิกัดเพื่อทำแผนที่ในเรื่องของการครอบครองหรือบุกรุกเขตป่าหรือไม่ ซึ่งดำเนินการมาครบ 3 วันแล้ว
ล่าสุด นายพิเชฏฐ์ ศรีนุ่น ผู้อำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดทางน้ำ ทางทะเล และชายฝั่ง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ได้ให้สัมภาษณ์ว่าจากากรที่นำหมายศาลเข้าดำเนินการในเวลา 3 วัน จำนวน 11 จุด พบสิ่งที่ถูกต้องและสิ่งที่ต้องพิสูจน์ ว่า กระทำผิดหรือไม่ มีดังนี้
จุดที่ 1. ที่ DSIเข้าตรวจพิสูจน์ทราบเรื่องเส้นทางสาธารณะพบว่ามีการทำลายปิดกั้นทำให้เสื่อมค่าเป็นระยะทางประมาณ 700 เมตร ซึ่งพบว่าเส้นทางที่พาดผ่านปรากฏว่าเป็นขุมเหมืองไปแล้ว
จุดที่ 2. DSIตรวจสอบพบว่ามีพื้นที่การยึดถือครองและมีการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ปรากฏว่ามีเอกสารสิทธิ์ทับพื้นที่ป่าไม้ ซึ่งเรื่องนี้เหมืองทองอัคราต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์ให้พ้นผิด
จุดที่ 3. เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโรงงานโลหกรรมในส่วนขยายพบข้อเท็จจริงว่า มีโรงงานโลหกรรมในส่วนขยายจริง
จุดที่ 4. DSIเข้าตรวจเรื่องการเปลี่ยนแปลงผังโครงการการทำเหมืองแร่ กรณีของบ่อกักเก็บกากแร่ พบว่าแผนผังเดิมจุดที่เข้าไปจัดหาค่าพิกัดโดยเจ้าหน้าท่าส่วนที่เกี่ยวข้องรวมถึงผู้แทนของบริษัทได้ยืนยันว่า เดิมอยู่ ณ จุดใด แล้วเปลี่ยนแผนผังโครงการไป ณ จุดใด ซึ่งเรื่องนี้เกิดความชัดเจนในการตรวจสอบแล้ว
จุดที่ 5. จากการเข้าตรวจสอบในกรณีของเส้นทางสาธารณะที่เป็นจุดที่ 2 ระยะทางประมาณ 800 เมตร ก็ปรากฏว่าเปลี่ยนสภาพเป็นขุมเหมืองไปแล้ว พบข้อเท็จจริงไม่ปรากฏร่องรอยทาง
นายพิเชฏฐ์ ศรีนุ่น ผู้อำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดทางน้ำ ทางทะเล และชายฝั่ง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนอื่นๆยังไม่พบความผิดปกตินอกเหนือไปจากนี้ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า หลังจากนี้จะดำเนินการอย่างไรต่อไป ได้รับคำตอบว่า จะต้องนำข้อมูลเข้าคณะกรรมการของDSI ที่มีอัยการร่วมสอบสวนอยู่ด้วย รวมถึงมีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านร่วมกันทำงานอีกครั้งที่จะต้องนำข้อมูลหลักฐานว่า สิ่งใดต้องใช้หลักฐานในเชิงนิติวิทยาศาสตร์ก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญให้มาร่วมดำเนินการ เช่น กรณีการอ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศ , กรณีการปักหลักหมายของแผนที่ระหว่างภาคพื้นดินกับทางอากาศในการที่จะระบุตำแหน่งที่ดิน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความชัดเจนไม่ให้เกิดความคลาดเคลื่อน ซึ่งจะต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้มีความครบถ้วน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่ายโดยต้องไปพิจารณาเชื่อมโยงจากพยานหลักฐานแต่ละชิ้น แต่ละเรื่องนำมาปะติดปะต่อกันในการทำรูปคดี ส่วนที่ว่าจะดำเนินการได้ช้าหรือเร็วแค่ไหน ตอบมาเพียงว่า ระบุไม่ได้ว่าจะเป็นช่วงไหนเวลาใด แต่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุดและเร็วที่สุด เพราะการดำเนินการในเรื่องนี้ต้องดำเนินการเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้กับผู้ถูกกล่าวหา คือ ฝ่ายของ บริษัท อัครารีซอร์สเซส จำกัด และต้องดำเนินคดีเอาผิดกับ บริษัท อัครารีซอร์สเซส จำกัด ด้วยเช่นกัน ในกรณีที่กระทำผิดกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายแบบตรงไปตรงมา
ในส่วนของ นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้จัดการทั่วไป ด้านกิจการภายนอก บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ทางบริษัทฯ ได้รับแจ้งเรื่องการเข้าตรวจหาหลักฐานเพิ่มเติมในครั้งที่ 2 นี้จาก DSI อย่างกระทันหันก่อนการเข้าตรวจสอบพื้นที่เพียง 2 ชั่วโมง แต่บริษัทฯ ก็ยังยืนยันว่าได้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดเสมอมา ตอนนี้ข้อมูลของทาง DSIและบริษัทฯ อาจจะมีความคลาดเคลื่อนกันอยู่พอสมควร ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องหารือกันต่อไป โดยทางบริษัทฯ พร้อมให้ข้อมูลที่ถูกต้องต่อไป ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจในความถูกต้องดังที่ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่เคยได้จัดทำบันทึกข้อความถึงผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรไปครั้งหนึ่งแล้วเมื่อคราว DSI ลงตรวจสอบพื้นที่ตรวจสอบในครั้งแรก ว่าแต่ละจุดที่ต้องสงสัยตามข้อร้องเรียนของกลุ่มผู้คัดค้าน อยู่ในพื้นที่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติแร่ พศ. 2510 ทั้งหมด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้กลับไม่ถูกเปิดเผยหลังจากการตรวจสอบเสร็จสิ้นในครั้งนั้น ขณะนี้บริษัทฯ จะรอการตั้งประเด็นอย่างเป็นทางการจาก DSI ที่จะแจ้งมาก่อน และไม่ได้รู้สึกกังวลต่อข้อร้องเรียนใดๆ เพราะเรามั่นใจว่าได้ทำทุกอย่างถูกต้อง โดยก่อนหน้านี้เราก็ได้ถูกตรวจสอบจากหลายหน่วยงานของรัฐในเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ซึ่งผลออกมาก็ไม่พบว่าเราเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องต่างๆ ตามข้อร้องเรียนแต่อย่างใด เชิดศักดิ์ ยังคงกล่าวต่อไปว่า อยากให้ DSI ทำการตรวจสอบกลุ่มผู้ประท้วงถึงแรงจูงใจ และเบื้องหลังในการอ้างข้อร้องเรียนต่างๆ ด้วย เหมือนกับที่ทำการตรวจสอบบริษัทฯ เพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย เพราะในปัจจุบันบริษัทฯ เองก็ไม่มีสิ่งใดปิดบังและเปิดเผยสามารถตรวจสอบได้
ภาพ/ข่าว สิทธิพจน์ เกบุ้ย ผู้สื่อข่าวภูมิภาค สำนักข่าวทีนิวส์ จ.พิจิตร




