- 19 ต.ค. 2560
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
เมื่อ 19 ตุลาคม 60 ที่สถานีตำรวจท่องเที่ยว 1 เชียงใหม่ รักษาราชการแทน รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว สุรเชษฐ์ หักพาล โดยในชั้นจับกุมผู้ต้องหายอมรับว่าเป็นบุคคลที่ตรงตามหมายจับ ทั้งนี้สืบเนื่องจากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่พบว่า มีพระสงฆ์รูปหนึ่งเป็นพระวัดดังย่านถนนสุขุมวิท 101 เป็นคนต่างด้าวที่สวมบัตรประชาชนเป็นคนไทย จึงสั่งการให้มีการสอบสวนขยายผล กระทั่งมีการขออนุมัติหมายจับต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ ที่ จ.661/2560 กระทั่งทางด้านตำรวจกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน และตำรวจภูธรภาค 5 จึงติดตามจับกุมตัวได้ที่ จ.เชียงราย และนำตัวมาแถลงที่เชียงใหม่ โดยแจ้งกล่าวหาว่า แจ้งข้อความหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในการขอมีบัตร,ทำใช้ หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ หรือกระทำการเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นมีชื่อ หรือมีรายการอย่างหนึ่งอย่างใดในทะเบียนบ้านหรือเอกสารทะเบียนราษฎร์อื่นโดยมิชอบฯ
ทั้งนี้พบว่า พระอัศรินทร์ ศิลาคำ มีการแจ้งเกิดเมื่อ 24 พ.ค.2531 แจ้งเข้าในทะเบียนบ้านที่อ้างว่าเป็นพ่อและแม่ ในพื้นที่ อ.โนนนารายณ์ จ.สุรินทร์ และใน อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกศ ตั้งแต่ปี 2539 ต่อมาเมื่อ 7 ส.ค.2542 ได้มีการย้ายเข้าบ้านหลังหนึ่งที่แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาทร กทม.ขณะที่มีอายุ 11 ขวบ โดยขณะที่บวชเมื่อปี 2546 นั้นยังไม่ได้มีการทำบัตรประชาชนแต่อย่างใด กระทั่งเมื่อ 11 มิ.ย.2547 มีการย้ายทะเบียนบ้านไปยังวัดท่ากระดาษ หมู่ที่ 1 ต.ฟ้าฮ่าม อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ต่อมาเมื่อ 21 พ.ค.2552 มีการแจ้งทำบัตรประชาชนเป็นครั้งแรก และมีการแจ้งทำบัตรประชาชนอีกครั้ง เมื่อ 18 พ.ค.2558 เนื่องจากบัตรหมดอายุ จากนั้นได้ย้ายไปอยู่วัดใน กทม.เรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อ 2 ต.ค. 2560 ที่ผ่านมา พระอัศรินทร์ ได้เดินทางไปลงบันทึกประจำวันที่ สน.พระโขนง เนื่องจากจะไปทำหนังสือเดินทาง แต่ปรากฏว่าเลขบัตรประชาชน 13 หลัก ได้ถูกผู้อื่นนำไปทำหนังสือเดินทางแล้ว จึงเป็นที่มาของการตรวจสอบดังกล่าว และพบว่าพระอัศรินทร์ รายนี้เป็นชาวพม่าที่มาสวมบัตรเป็นคนไทยมานานแล้ว จึงติดตามจับกุมตัวได้ในที่สุด ก่อนนำตัวไปลาสิขาบท และดำเนินคดี
รักษาราชการแทน รองผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว สุรเชษฐ์ หักพาล เผยว่า พื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย นอกจากจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวจำนวนมากแล้ว ยังมีการเดินไปทำบุญตามวัดต่างๆ ในเชียงใหม่ และเป็นช่องทางให้กลุ่มขบวนการบุคคลต่างด้าวเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ ในรูปแบบของการสวมบัตรประชาชนบุคคลอื่นที่เสียชีวิต หรือบุคคลที่มีความเคลื่อนไหวทางทะเบียนราษฎร์มาเป็นระยะเวลานาน อันถือว่าเป็นภัยต่อสังคม และความมั่นคงของประเทศชาติ.
ภาพ/ข่าว นพนิวัตร์ ไกรฤกษ์ ผู้สื่อข่าวภูมิภาค สำนักข่าวทีนิวส์ จ.เชียงใหม่