- 01 ก.พ. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
ตำรวจ สภ.เมืองราชบุรีใช้โครงการ D.A.R.E นำเด็กนักเรียนเข้าเยี่ยมภายในสถานีตำรวจเพื่อดูตัวอย่างการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจและการกระทำผิดกฎหมายของประชาชนและสิ่งเสพติด มีเยาวชนวัยรุ่นและประชาชนที่กระทำผิดกฎหมายนั้นไม่มีรายงานว่าเป็นคนที่เข้าร่วมในโครงการ D.A.R.E แม้แต่รายเดียว
พ.ต.อ. อภิชาต พุทธบุญ ผู้กำกับ สภ.เมืองราชบุรี ร.ต.ท.รัฐภูมิ โพธิ์ศรีดา รองสารวัตรสืบสวนและในฐานะครูตำรวจ D.A.R.E ของสถานีตำรวจภูธรเมืองราชบุรี พร้อมด้วยอาจารย์ ดวงกมล นักจะเข้ อาจารย์โรงเรียนเทศบาลหลักเมือง ได้นำเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-6 รวม 28 คน จากโครงการครู D.A.R.E มาศึกษาเรียนรู้การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในด้านต่างๆที่เกี่ยวข้อง ที่บริเวณสถานีตำรวจภูธรเมือง อ.เมือง จ.ราชบุรี ซึ่งมีเด็กๆทั้งชายหญิงได้ให้ความสนใจสอบถามความเป็นมาของแต่ละหน่วยงานด้วยความสนใจ
ร.ต.ท.รัฐภูมิ โพธิ์ศรีดา รองสารวัตรสืบสวนและในฐานะครูตำรวจ D.A.R.E หรือ DRUG ABUSE RESISTANCE EDUCATION หรือ โครงการการศึกษาเพื่อการต่อต้านการใช้ยาสเสพติดในเด็กนักเรียน เปิดเผยว่า โครงการก่อตั้งประมาณปี พ.ศ. 2542 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสมัยนั้น ได้นำโครงการการแก้ไขปัญหายาเสพติด ตั้งแต่นักเรียนจนถึงเยาวชนเข้ามาสู่ประเทศไทย เป็นโครงการของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยนำครูตำรวจแดร์เข้าฝึกอบรม และนำมาถ่ายทอดจนถึงขณะนี้เข้ามาปีที่ 16 แล้ว ใช้ครูตำรวจอบรมหลักสูตรนี้ทั้งหมด 13 บทเรียน นำมาสอนในนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 5-6 ทั่วประเทศไทย ขณะนี้มีครูตำรวจแดร์ทั้งหมด 10,000 คน ในหนึ่งภาคเรียนจะเข้าสอนเด็กนักเรียนชั้นดังกล่าวคนละ 2 ห้องเรียน เฉลี่ยนักเรียนห้องละ 30-40 คน ทั่วประเทศเทอมหนึ่งประมาณ 20,000 ห้อง ปีหนึ่งประมาณ 40,000 ห้อง เมื่อรวมกับนักเรียนแล้วประมาณปีละ 3-4 แสนคน ขณะนี้ยอดสะสมของนักเรียนประมาณกว่า 1.9 ล้านคน
โครงการดังกล่าวของตำรวจภูธรจังหวัดราชบุรีมีครูตำรวจแดร์ ที่ผ่านการฝึกอบรมแล้วรวม 95 นาย ของโรงพักเมืองราชบุรีมีทั้งหมด 15 นาย ขณะนี้ได้โยกย้ายไปแล้วเหลือเพียง 10 นาย ปี 2560 ในภาคเรียนที่ 2 ได้ไปสอนที่โรงเรียนในเขตรับผิดชอบ อ.เมืองทั้งหมด 10 นาย ครูตำรวจแดร์1 นายจะสอนประมาณ 1-2 โรงเรียน รวมกว่า 1,950 คน ได้ทั้งหมด 16 โรงเรียน สิ่งที่นักเรียนได้รับจากโครงการการศึกษาเพื่อการต่อต้านการใช้ยาเสพติดในเด็กนักเรียน ซึ่งเด็กๆจะได้เรียนรู้ทั้งหมด 13 บทเรียน เริ่มตั้งแต่ บุหรี่ กัญชา เหล้า สารละเหย ยาบ้า รวมทั้งสิ่งเสพติดต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศ เด็กได้เรียนรู้การปฏิเสธอันดับแรกคือ โทษและพิษภัย เมื่อเข้าไปยุ่งเกี่ยวแล้วจะเกิดโทษอย่างไร และให้รู้จักการปฏิเสธด้วย สมมุติมีคนมาชักชวนให้เด็กสูบบุหรี่ ทางครูจะสอนนักเรียนว่า “ไม่หรอก” จะฝึกให้ใช้คำปฏิเสธว่า”ไม่” เพราะบุหรี่เป็นสิ่งไม่ดีมีสารพิษมากมายมากกว่า 7,000 ชนิด หรือ ชวนดื่มสุรา ดื่มเบียร์ ของเด็กนักเรียนที่ขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หากได้เรียนก็จะช่วยเสริมทักษะภูมิคุ้มกันตรงนี้แล้วก็จะรู้จักปฏิเสธเป็น
จากสถิติของสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบแล้วในรอบกว่า 10 ปีที่ผ่านมา เด็กนักเรียนที่อยู่ในโครงการยังไม่มีใครถูกจับกุมเรื่องยาเสพติด ซึ่งเป็นสถิติที่มีหลักฐานเป็นเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก เป็นข้อมูลจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดที่ระบุไว้
ช่วงที่ผ่านมาจะมีเด็กนักเรียนเข้ามาศึกษาดูงานเป็นบทเรียนที่ 11-12 -13 จะช่วยเสริมทักษะนักเรียนได้เห็นของจริง ทั้งได้เห็นตำรวจหญิงและตำรวจชายทำงาน พาไปดูที่เก็บรถจักรยานนของกลางหรือรถแว้น ซึ่งทางผู้กำกับ สภ.เมือง ได้ดำเนินการตามนโยบาย เด็กๆตื่นเต้นมาก หลายคนใช้คำพูดว่า “นี่มันอะไรกันทำไมเยอะอย่างนี้ แล้วรถทำไมเขาแต่งกันแบบนี้” จึงได้อธิบายให้เข้าใจว่าเป็นช่วงวัยรุ่นที่ประพฤติตนไม่สมควรในการปรับแต่งรถสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน และถูกจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมาย เด็กๆพูดว่า “ถ้าโตขึ้นจะไม่ทำแบบนี้แน่นอน” ถือเป็นเรื่องที่ดีที่เด็กๆมีความคิดออกมาในเชิงบวกเป็นความคิดที่ออกมาจากตัวเด็กเอง
อาจารย์ ดวงกมล นักจะเข้ อาจารย์โรงเรียนเทศบาลหลักเมือง กล่าวถึงโครงการดังกล่าว่า ได้พานักเรียนมาชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ละนายว่าได้ทำงานอย่างไรบ้าง เช่น ครูแดร์ได้ให้ความรู้เรื่องการหลีกเลี่ยงสิ่งไม่ดี เช่น ยาเสพติด อบายมุขต่างๆ ซึ่งวันนี้จะได้มาเห็นสถานที่จริง เด็กหลายคนมีความสนใจมากที่อยากจะมาเรียนรู้ ซึ่งจะทำให้มีความรู้สึกว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกและผิด และจะปฏิบัติตนเป็นคนดีเมื่อโตขึ้นในอนาคตอย่างไรบ้าง
พ.ต.อ. อภิชาต พุทธบุญ ผู้กำกับ สภ.เมืองราชบุรี กล่าวว่า ส่วนเมืองราชบุรีนั้น ทางผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด และกองพลพัฒนาที่ 1 มีนโยบายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย โดยได้จัดเจ้าหน้าที่ในชุดพิเศษใช้ชุดเหยี่ยวดำออกปฏิบัติช่วง 22.00- 05.00น.ทุกวัน เป็นส่วนกำลังที่แยกออกมาจากการปฏิบัติหน้าที่ในชุดไล่ล่าเด็กแว้น เด็กซิ่ง ซึ่งได้สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับประชาชน มีมาตรการเมื่อมีการจับกุมตรวจยึดรถจักรยานยนต์ได้ ก็จะมีหลักการคือ ให้แก้ไข หากยอมถอดท่อไอเสียที่ดัดแปลงให้เกิดเสียงดังและยอมมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็จะดำเนินการปรับตามโทษที่น้อยลง ประมาณ 300-500 บาท แต่ถ้าไม่ยอมสำนึกผิด โดยไม่ยอมแก้ไขปรับปรุง ทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการใช้มาตรการปรับทุกข้อหา มีอัตราโทษสูงสุด
ปัจจุบันมีน้องๆที่สำนึกผิดและยินยอมที่จะมอบท่อรถไอเสียที่ดัดแปลงให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อเก็บไว้ทำลายแล้วรวมกว่า 340 ท่อ ซึ่งมีการสรุปผลในรอบ 3 เดือน หรือประมาณเดือนกุมภาพันธ์นี้ และจะเตรียมนำไปทำลายทิ้งต่อไป
อย่างไรก็ตามทางครูตำรวจแดร์ได้พาเด็กๆเดินชมรถแต่งซิ่ง พร้อมอธิบายชิ้นส่วนอุปกรณ์ดัดแปลงรถจักรยานยนต์ให้แก่เด็กๆที่พยายามสอบถามว่ามีชิ้นไหนบ้างที่ผิดกฎหมาย เช่น ท่อไอเสียที่ไปซื้อมาปรับแต่งให้เสียงดังจะมีราคาท่อละ 1,000 บาท น็อตหัวสีทองเอาไว้แต่งซิ่งตัวละ 300 บาท นอกจานี้ยังมีอุปกรณ์ต่างๆอีกหลายชนิด เช่น ล้อแม็ก คิ้วล้อรถ รถคันหนึ่งมีอุปกรณ์ตกแต่งหลายหมื่นบาทต่อคัน และมีการยกตัวอย่างการทำงานของพ่อ แม่ ที่ทำงานได้ค่าแรงวันละ 300 บาท แต่ต้องนำเงินมาประกันตัวลูกที่มาถูกจับดำเนินคดีเกี่ยวกับเปลี่ยนแปลงสภาพรถในจุดต่างๆ ซึ่งมีโทษต่ำสุด 300 บาท ถึงสูงสุด 2,000 บาท ขณะที่พ่อแม่ทำงานได้ค่าแรงวันละ 300 บาท ยังติดลบต้องหาเงินไปประกันลูกอีก 1,700 บาท เป็นตัวอย่างให้เด็กมองเห็นภาพที่ชัดเจนในการกระทำผิดกฎหมาย จึงถือเป็นโครงการที่ทำให้นักเรียนได้รู้โทษและพิษภัยของยาเสพติดทุกชนิด ที่มีผลกระทบต่อร่างกาย ได้เรียนรู้วิธีปฏิเสธเมื่อถูกชักชวนให้ทดลอง และยังได้รู้จักการคบเพื่อนที่ดีนำไปสู่การเป็นเยาวชนของชาติที่มีภูมิคุ้มกันที่ดีในอนาคต
ภาพ-ข่าว ภัทรพงศ์ คำเปรม ผู้สื่อข่าวภูมิภาคสำนักข่าวทีนิวส์ จังหวัดราชบุรี




