- 30 มี.ค. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
(30 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากมีการโพสต์ภาพของชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งบุกพิสูจน์บ้านผีสิงกลางเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งมีการเล่าลือถึงบ้านผีสิง วิญญาณหลอนที่เป็นที่รับรู้ของคนทั่วไปในจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยบ้านหลังดังกล่าวอยู่ริมถนนหลังวัดเพชรจริก ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ห่างจากฌาปนะสถานวัดเพชรจริกประมาณ 50 เมตร เป็นบ้านหลังใหญ่ครึ่งปูนครึ่งไม้ มีรั้วรอบขอบชิดที่ถูกทิ้งรกรางมานานเกือบ 40 ปี ซึ่งกลุ่มคนที่บุกพิสูจน์ได้ถ่ายภาพนิ่งจำนวนมากมาโพสต์ในเฟซบุ๊กของผู้ที่ใช้ชื่อว่า “Artit Promratpan” และ “คัมภีร์เทพ สรรเพชร” ก่อนจะแชร์โพสต์ไปในเพจกลุ่ม !!ประเทศคอน!! เพจดังอันดับ 1 ของจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งมีสมชิกเกือบ 3 แสนราย โดยมีคนในโลกโซเชี่ยลเข้าไปชม แชร์ และแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง
สำหรับข้อความในเพจระบุว่า #คนนครรู้จักบ้านหลังนี้ไหม #หลังวัดเพชรจริก #แท็กเพื่อนมาอ่านตำนานความสยอง...แห่งเมืองคอน !!! "บ้านร้างซ่อนศพ" บ้านเฮี้ยนที่มีตำนานอันสุดสะพรึง ทำเอาคนข้างบ้านอยู่กันแทบไม่ได้ !!! #ขนลุกซู่
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ ๔๐ กว่าปี ที่แล้วบ้านหลังนี้เป็นของครอบครัวนายทหารท่านนึง ในจังหวัดนครศรีฯ อาศัยอยู่ด้วยกัน ๔ คน พ่อ แม่ กับลูกชายอีก ๒ คน แล้วอยู่มาวันนึง นายทหารท่านนั้นกับภรรยาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตทั้งคู่ ที่บ้านก็เหลือแค่พี่น้องสองคน เรื่องมันจะดีถ้าสองคนพี่น้องใช้ชีวิตอยู่กันตามปกติ แต่ไม่ใช่อย่างงั้น สองพี่น้องทะเลาะกันบ่อยครั้งเรื่องสมบัติ จนกระทั้งเกิดเหตุฆ่ากันตาย (ไม่ทราบว่าพี่ฆ่าน้อง หรือน้องฆ่าพี่)
“แล้วอำพรางศพไว้ในบ้าน ทำให้ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว จนเพื่อนบ้านมาทักเพราะคิดว่าอาจจะเป็นแค่หนูตาย แต่เจ้าของบ้านก็ไม่จัดการเรื่องกลิ่น จนเพื่อนบ้านแจ้งความให้ตำรวจเข้าไปดู ก็พบศพผู้ชายนอนอยู่ในห้องน้ำ สภาพศพมีน้ำเหลืองไหลเยิ้ม และหนอนไชตามลำตัว บริเวณศรีษะโดนตีด้วยของแข็งจนกะโหลกยุบ ส่วนคนที่ก่อเหตุ ก็ถูกควบคุมตัวไปดำเนินคดี หลังจากนั้นก็ไม่มีใครมาอยู่บ้านหลังนี้อีกเลย ทิ้งร้างไว้จนถึงปัจจุบัน อย่างที่เห็น”
เรื่องราวความหลอนเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีกลุ่มวัยรุ่น ๔-๕ คน เข้าไปลองของในบ้าน แล้วเจอทั้งผีผู้ชาย และผีผู้หญิงใส่ชุดไทยโบราณ หลอกหลอนวิ่งหนีกันบ้านแทบแตก หลังจากวันนั้นจากแค่บ้านร้างที่ประวัติฆาตกรรม (ซึ่งปกติก็ไม่ค่อยมีใครอยากผ่านอยู่แล้วถ้าไม่จำเป็น) ได้กลายเป็นบ้านเฮี้ยน ใครที่ผ่านไปผ่านมาหน้าบ้านนั้นโดนหลอกทุกคน บ้างก็ว่าเห็นผีผู้ชายออกมายืนชี้อยู่ที่รั้วหน้าบ้าน บ้างก็ว่าเห็นผู้หญิงชุดไทยออกมาเดินอยู่ตรงระเบียงชั้น ๒ จนไม่มีใครกล้าผ่านไปผ่านมาทางนั้นตอนกลางคืนอีกเลยถ้าไม่จำเป็น
แม้แต่เพื่อนบ้านที่อยู่กำแพงติดกันก็ยังทนไม่ไหว เดือดร้อนต้องไปหาหมอผีมาทำพิธีสะกดวิญญาณในบ้าน เพื่อไม่ให้ผีออกมาหลอกใครได้อีก แต่ถึงจะสะกดวิญญาณไว้แล้ว แต่เพื่อนบ้านและบริเวณใกล้เคียงก็ยังได้ยินเสียงแปลกๆ ดังออกมาจากบ้านหลังนี้เป็นประจำ แต่ด้วยความเคยชินเขาก็ใช้ชีวิตอยู่กันตามปกติ แต่จะไม่เปิดหน้าต่างบ้านที่อยู่ฝั่งเดียวกับบ้านร้างเลย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อประมาณ 15-20 ปีก่อนเรื่องราวความเฮี้ยนของวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในบ้านร่างดังกล่าว เป็นที่เล่าลือกันอย่างกว้างขวางและไม่มีใครกล้าผ่านเส้นทางดังกล่าว แม้บางคนจะขับรถ จยย.หรือรถยนต์รถยนต์ก็ตาม จนสื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวอย่างครึกโครมจนมีรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับเรื่องภูตผี ปีศาจ วิญญาณหลอน ทั้งในและต่างประเทศเดินทางมาบันทึกท้าพิสูจน์หลายรายการ และต่างก็โดนดีวิ่งหีกระเจิดกระเจิงมาแล้ว หลังจากนั้นเรื่องเล่าลือบ้านร่างผีสิงหลังดังกล่าวก็เงียบหายไป แต่คนที่ทราบกิตติศัพท์จะไม่มีใครกล้าผ่านอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตามเมื่อกลางดึกคืนที่ผ่านมา(29 มี.ค.) คณะผู้สื่อข่าวจำนวน 7 คนได้เดินทางไปตรวจสอบบ้านหลังดังกล่าว พบว่าชำรุดทรุดโทรมไปจากเดิมเป็นอย่างมาก แต่ในส่วนที่ทำด้วยไว้พบว่าเป็นไม้เนื้อแข็งคุณภาพดี และมีรั้วกำแพงปูนสูงประมาณ 120 ซ.ม.ล้อมรอบแต่ประตูรั้วทางเข้าถูกถอดออกไปเป็นช่องกว้างประมาณ 15 เมตร ภายในรั้วนอกจากบ้านหลังดังกล่าวแล้วทางทิศเหนือห่างจากบ้านร้างมีบ้านไม้เก่า ๆ ปลุกอยู่หนึ่งหลัง คาดว่ามีคนอยู่อาศัยเพราะมีไฟเปิดอยู่และเป็นที่น่าสังเกตว่าด้านข้างที่ตรงกับบ้านร้างถูกดัดแปลงไม่มีหน้าต่างและมีการกั้นอย่างมิดชิดไม่ให้มองจากในบ้านเห็นบ้านร้าง
ผู้สื่อข่าวได้เดินลัดเลาะกำแพงเพื่อสำรวจรอบ ๆ บ้านพบว่าหน้าต่างไม้บนชั้นกว่า 10 บานเปิดแง้มไว้ หลังคาและตัวบ้านมีต้นไม้และเถาวัลย์ขึ้นปกคลุมเต็มไปหมด ยิ่งเพิ่มบรรยากาศความหน้าสะพรึงกลัวเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ผู้สื่อข่าวใช้ไฟฉายส่องเข้าไปดูด้านในก็ได้ยินเสียงตะกุกตะกักเหมือนมีคนอยู่ในบ้านร่างและมีลมเย็นพัดผ่านจนรู้สึกได้ชัดเจน ทำเอาผู้สื่อข่าวถึงขนหัวลุก หันมามองหน้ากันแต่ก็ยังทำใจแข็งเดินส่องไฟฉายขึ้นไปด้านสำรวจบนชั้น 2 คราวนี้กลับมีควันสีขาวเคลื่อนผ่านลำแสงไฟฉายพร้อมกับมีลมเย็นกว่าเดิมพัดกรรโชกผ่าน จนร่างกายรู้สึกเย็นเหมือนโดนน้ำแข็ง คราวนี้ผู้สื่อข่าวหันมามองหน้ากันในความมืดและโดยไม่ต้องพูดอะไรกันทั้งหมดก็มีความคิดตรงกันว่า “ไม่ควรมาลองดีกับผี ยุติกันแค่นี้ดีกว่า” ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินกลับมาขึ้นรถที่จอดอยู่ริมถนนขับออกจากบริเวณดังกล่าวอย่างรวดเร็ว.
-ขอบคุณภาพ/ข้อมูล/“Artit Promratpan” / “คัมภีร์เทพ สรรเพชร” /เพจกลุ่ม !!ประเทศคอน!!
ภาพ/ข่าว ยุทธนะ เตมะศิริ ผู้สื่อข่าวภูมิภาค สำนักข่าวทีนิวส์ จังหวัดนครศรีธรรมราช




