- 12 มิ.ย. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 12 มิถุนายน 2561 กลุ่มผู้บริโภคเหล็กในประเทศ จ.ปทุมธานี จ.นนทบุรี และจ.สมุทรปราการ จำนวน 200 ราย รวมตัวขอเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เรียกร้องให้ชะลอการเสนอร่างแก้ไข พรบ.การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ โดยมีนายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าการค้าต่างประเทศ เป็นผู้รับหนังสือ ที่กระทรวงพาณิชย์ ถ.สนามบินน้ำ ตำบลบางกระสอ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี
ซึ่งมีการเพิ่มเติมบทบัญญัติเรื่อง การตอบโต้สินค้าหลบเลี่ยง (Anti-Circumvention: AC) เพื่อให้ภาครัฐสามารถขยายขอบเขตการเรียกเก็บอากรให้ครอบคลุมถึงสินค้า ที่นำเข้ามาใช้ทดแทนสินค้าที่มีการทุ่มตลาดได้ด้วย โดยกระทรวงพาณิชย์คาดว่าจะช่วยป้องกันการเลี่ยง อากรของผู้นำเข้าสินค้าทุ่มตลาดได้ดีขึ้น และจะเป็นการช่วยผู้ผลิตวัตถุดิบเหล็กในประเทศให้สามารถ ขายสินค้าให้แก่โรงงานรายย่อยในประเทศได้มากขึ้น แต่กลับจะส่งผลลบทำให้สินค้าทุกอย่างที่ผลิตจาก เหล็กที่โดนมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping: AD) และมาตรการตอบโต้สินค้าหลบเลี่ยง (Anti-Circumvention: AC) ซึ่งครอบคลุมผลิตภัณฑ์หลายพันรายการ มีราคาสูงขึ้นสูงสุดถึง 30% เนื่องจากโรงงานถูกบีบให้ใช้วัตถุดิบในประเทศ เปิดช่องให้ผู้ผลิตในประเทศสามารถร่วมกันกำหนดราคาได้ ตามที่ต้องการ แต่ผลประโยชน์กลับไหลออกนอกประเทศ เพราะส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่มีต่างชาติถือหุ้นใหญ่ โดยกฎหมายนี้จะส่งผลกระทบถึงสินค้านำเข้าทุกชนิดทั้งที่โดนใช้มาตรการ AD อยู่แล้วในปัจจุบันและ อนาคตต่อไป ไม่เฉพาะสินค้าเหล็กเท่านั้น
ด้านนายชัยฤทธิ์ วศินสมบัติ ตัวแทนสมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์คอนกรีตไทย กล่าวว่า สมาชิกสมาคมฯ เป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีต เช่น เสาเข็ม เสาไฟฟ้า แผ่นพื้นสำเร็จรูป คานสะพาน ชิ้นส่วนโครงสร้างสำเร็จรูป เป็นต้น ซึ่งต้องใช้เหล็กปลายน้ำหลายชนิดเป็นวัตถุดิบในการผลิต ที่มาวันนี้ เนื่องจากเห็นว่า กฎหมายนี้มุ่งปกป้องตลาดในประเทศ โดยใช้วิธีกำหนดอากรเพื่อสกัดกั้น สินค้านำเข้า อาจจะเป็นข้อดีที่จะทำให้อุตสาหกรรมเหล็กกลางน้ำในประเทศไม่ได้รับผลกระทบจากสินค้าที่มาจาก ประเทศอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน แต่ในอีกแง่หนึ่งน่าจะมีผลทำให้สินค้า ทั้งสินค้ากลางน้ำ ปลายน้ำ และสินค้าต่อเนื่อง มีราคาสูงขึ้นทั้งตลาด เพราะผู้ผลิตเหล็กกลางน้ำในประเทศซึ่งมีรายใหญ่ไม่กี่ราย จะสามารถขึ้นราคาได้ง่าย ซึ่งก่อนหน้านี้อาจจะทำไม่ได้ เพราะต้องคำนึงถึงการแข่งขันกับสินค้าของ ประเทศอื่น ผู้ผลิตเหล็กปลายน้ำที่ซื้อเหล็กเหล่านี้มาผลิตสินค้าก็จะมีต้นทุนสูงขึ้น สินค้าต่อเนื่อง เช่น เสาเข็ม แผ่นพื้น ฯลฯ ก็จะมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย ประชาชน-ผู้รับเหมา ก็ต้องซื้อของในราคาที่แพงขึ้น กระทั่งการก่อสร้างภาครัฐเองก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งเห็นว่ากฎหมายใหม่กำหนดว่า แม้แต่สินค้า ที่เป็นคนละชนิดกันแต่สามารถใช้ทดแทนกันได้ ก็จะโดนเรียกเก็บอากรไปด้วย กลายเป็นว่า ผู้บริโภคสินค้า ที่เกี่ยวกับเหล็กจะต้องแบกรับภาระด้านราคาเป็นทอดๆ ไป ในภาพรวมแล้ว จึงน่าจะส่งผลในทางลบ ต่อวงการก่อสร้างของประเทศไทย
ส่วนนายพันธนวุฒิ ถิ่นคำแปง เลขาธิการสมาคมการค้าผู้ผลิตหลังคาเหล็กไทย กล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มผู้ผลิต หลังคาเหล็ก(โรงรีดเมทัลชีท) กว่า 1,300 ราย ใช้วัตถุดิบคือเหล็กแผ่นรีดเย็นจากผู้ผลิตวัตถุดิบในประเทศ เป็นหลัก เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์กำหนดมาตรการ AD เพื่อกีดกันการนำเข้าจากจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน และเวียดนาม ซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบใหญ่ที่มีราคาถูกและมีคุณภาพดี แต่ปรากฏว่าผู้ผลิตวัตถุดิบในประเทศเอง ก็ไม่สามารถผลิตได้เพียงพอกับความต้องการใช้งานและต้องไปนำเข้าจากประเทศอื่นที่ไม่โดนมาตรการ AD มาขายต่ออีกที โดยที่นำเข้ามาได้เนื่องจากเป็นบริษัทในเครือเดียวกันเอง ที่ผ่านมาผู้ผลิตหลังคาเหล็กทั่วประเทศ จึงต้องประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบอยู่แล้ว หากกฎหมายใหม่ออกมาปิดกั้นการนำเข้าสินค้าที่ใช้ ทดแทนกันได้ซ้ำเข้าไปอีก ก็อาจจะทำให้ถึงกับต้องเลิกกิจการ เพราะประสบปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ สินค้าสำเร็จรูปก็จะไหลเข้ามาแทน การจ้างงานโรงละ 12 - 20 คน/โรง รวมแล้วร่วม 16,000 - 26,000 คน ทั่วประเทศจะหายไปทันที ยังไม่รวมถึงครอบครัวของคนงานเหล่านี้ และการที่แต่ละโรงรีดไปกู้เงินจาก สถาบันการเงินมาลงทุนก็จะกระทบไปทั้งหมด
ทางด้านนายเบญจพงษ์ โล่ห์ชิตกุล นายกสมาคมเหล็กลวด ซึ่งประกอบด้วยผู้ใช้เหล็กลวดเป็นวัตถุดิบ ในการผลิตสินค้าต่อเนื่อง เช่น ตะปู นอต สกรู ตะแกรงเหล็ก ลวดชุบ เพลา ลวดเชื่อม เฟอร์นิเจอร์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้มีผลกระทบในวงกว้างและรุนแรง มากกว่าที่กระทรวงพาณิชย์ประเมิน ทั้งประชาชน ผู้รับเหมา การก่อสร้างของภาครัฐ ทุกคนที่ใช้สินค้าจาก เหล็กเหล่านี้ จะต้องตกเป็นผู้รับภาระราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น เพื่อช่วยให้โรงงานรายใหญ่ไม่กี่โรงได้กำไร ดังนั้น แทนที่ภาครัฐจะออกกฎหมายมาปิดกั้นการนำเข้า ควรปรับปรุงกระบวนการไต่สวน AD ให้มีประสิทธิภาพขึ้นมากกว่า จะได้ทราบถึง ปัญหา-ข้อมูล-ข้อเท็จจริงในอุตสาหกรรมเหล็กอย่างแท้จริง ผู้นำเข้าจะได้ไม่ตกเป็นจำเลยสังคมอย่างทุกวันนี้
ส่วนนายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า ขณะนี้ร่างกฎหมายดังกล่าว อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หากผ่านขั้นตอนนี้ก็จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งทางกรมการค้าการค้าต่างประเทศไม่ได้นิ่งดูดาย เราได้พิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกี่ยวข้องกับทุกคน ทั้งอุตสาหกรรมภายใน ผู้นำเข้า ผู้ใช้และรวมไปถึงผู้บริโภคคนสุดท้าย.




