ยุทธศาสตร์รบ สายตาพญาอินทรีหมายปอง “สนามบินอู่ตะเภา”

ยุทธศาสตร์รบ สายตาพญาอินทรีหมายปอง “สนามบินอู่ตะเภา”

สหรัฐอเมริกามีท่าทีที่ผิดปกติกับประเทศไทย โดยเฉพาะสถานการณ์การออกเสียงประชามติเป็นอย่างยิ่ง ล่าสุดเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ จากกรณีที่นายกลิน ที เดวีส์ (H.E. Mr. Glyn T. Davies) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยได้เดินทางลงไปยังพื้นที่จ.พังงาของไทย โดยได้อ้างถึงภารกิจดังต่อไปนี้
1.การอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล
2.ปัญหาขยะและพลาสติกทางทะเล
3.การรักษาทรัพยากรทางทะเล อาทิ ปลา สัตว์น้ำทางทะเล
4.ปัญหาโลกร้อนที่มีผลกระทบกับทรัพยากรทางทะเล ปะการังฟอกขาว และมีผลให้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป
แม้ว่าเหตุผลของการเดินทางเยือน จ.พังงาในครั้งนี้จะถูกระบุว่าเป็นประเด็นทางธรรมชาติและทรัพยากร แต่ด้วยความเป็นสหรัฐอเมริกายังคงทำให้ถูกจับตามองว่า เหตุผลที่ระบุนั้นอาจจะเป็นเพียงข้ออ้าง
เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งได้เกิดความพยายามในสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ด้วยการสำรวจความเปลี่ยนแปลงทางชั้นบรรยากาศในประเทศไทย จนถูกตรวจสอบพบในเวลาต่อมาว่า สหรัฐฯน่าจะมีเหตุผลเรื่องสนามบินอู่ตะเภา และการสำรวจพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทหารมากกว่า

ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนมิถุนายน 2555 กระทรวงการต่างประเทศเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา หรือ นาซ่า เข้ามาดำเนินโครงการศึกษาการก่อตัวของเมฆที่มีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ ภายในประเทศไทย โดยมีภารกิจหลัก 2 เรื่อง

เรื่องแรก การให้ความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรมภัยพิบัติ หรือ Humanitarian Assistance Disaster Relief: HADR ที่ได้เริ่มต้นขึ้นโดยรัฐบาลชุดก่อน ที่มีแนวคิดจัดให้มีศูนย์ช่วยเหลือทางมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นข้อริเริ่มของฝ่ายไทยเนื่องจากเห็นว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติค่อนข้างที่จะรุนแรง ทั้งภัยสึนามิ ภัยจากแผ่นดินไหว และภัยร้ายแรงอื่นที่เกิดขึ้นและได้ทำลายชีวิตประชาชน ดังนั้นจึงมีแนวคิดให้มีการตั้งหน่วยงานเพื่อตอบสนองภัยพิบัติฉุกเฉินขึ้น ที่เรียกว่า HADR

เรื่องที่สององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ นาซ่า ที่จะมาสำรวจสภาพภูมิอากาศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้ส่งผลกระทบต่อการเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ อันมีลักษณะเฉพาะของภูมิภาคนี้ เช่น ไต้ฝุ่น มรสุม เพื่อจะได้ข้อมูลละเอียดชัดเจนขึ้นเพื่อนำไปเทียบเคียงกับข้อมูลที่ได้จากดาวเทียม โดยการขึ้นบินของเครื่องบินนาซาจะมีทั้งหมด 3 ลำ ขณะที่ฝ่ายไทยจะมีเครื่องบินของสำนักฝนหลวงและการบินเกษตรบินขึ้น 1 ลำ ซึ่งขณะที่บินขึ้นจะมีการถ่ายภาพถ่ายทางอากาศของดาวเทียมธีออส เพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน ส่วนเหตุผลที่ต้องใช้สนามบินอู่ตะเภา นั้น มี 3 ประการ ได้แก่ 1. ดาวเทียมยุทธศาสตร์อยู่ใกล้บริเวณศรีราชา จึงต้องใช้สนามบินอู่ตะเภาซึ่งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน 2. การตรวจฝุ่นละออง เมฆ ส่วนใหญ่จะสำรวจพื้นที่ที่อยู่บริเวณทะเล และ 3. การใช้เครื่องบินจำเป็นต้องใช้ทางวิ่งที่ยาวมาก จึงต้องใช้สนามบินอู่ตะเภา การเข้ามาของสหรัฐฯและนาซ่าในช่วงนั้นได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่ทว่ากลับมีการท้วงติงจากเครือข่ายประชาชนอย่างหนัก เนื่องจากมีการตั้งข้อสังเกตว่าการที่สหรัฐอ้างเรื่องสภาพอากาศนั้น ไม่น่าจะใช่เหตุผลที่แท้จริง ประกอบการที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เลือกที่จะสร้างความสัมพันธ์กับสหรัฐฯมากจนเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลก ประกอบกับในช่วงนั้นได้มีข่าวสะพัดออกมาอย่างหนักว่ากองทัพ ที่นำโยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกเอง ก็ไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง จนท้ายที่สุดแผนดังกล่าวของสหรัฐฯจึงถูกยกเลิกไป จนทำให้หลายฝ่ายมองว่านี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้สหรัฐฯไม่พอใจพล.อ.ประยุทธ์มาจนถึงทุกวันนี้

เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2555 เว็บไซต์ทางการขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐ หรือ นาซา เปิดเผย ที่ผ่านมาว่า นาซา ได้ยกเลิกภารกิจโครงการสำรวจสภาพอากาศ หรือ SEAC4RS ซึ่งถูกกำหนดให้เริ่มในเดือนสิงหาคมปีนี้ เนื่องจาก ขาดการอนุมัติที่จำเป็นจากหน่วยงานระดับภูมิภาค ในระยะเวลาที่จำเป็น เพื่อสนับสนุนการใช้งานตามแผนภารกิจทางวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้ นายไบรอัน ทูน อาจารย์มหาวิทยาลัยโคโลราโด ผู้นำในการวางแผนโครงการนี้ กล่าวว่า มีการประสานงานที่ยุ่งยากมาก ในการวางแผนโครงการ และนี่คือหนึ่งในแคมเปญที่ใหญ่ที่สุด ที่นาซาได้ดำเนินการ พูดง่ายๆก็คือแทบไม่มีใครเชื่อ เมื่อสหรัฐอ้างถึงโครงการเกี่ยวกับสภาพอากาศและทรัพยากรทางธรรมชาติในประเทศไทย และทุกครั้งที่สหรัฐเข้ามาข้องแวะกับพื้นที่ภาคใต้ ก็จะเป็นที่รับรู้กันว่าสายตาของพญาอินทรีล้วนจดจ่ออยู่กับสนามบินอู่ตะเภา ท่าอากาศยานอู่ตะเภาของไทย พื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุดทางด้านการรบและเศรษฐกิจของเอเชีย ยังเป็นที่หมายปองของสหรัฐอเมริกา ที่จะขอเข้ามาตั้งฐานทัพเพื่อขยายอำนาจและสกัดกั้นอิทธิพลของจีน ยุทธศาสตร์ของประเทศไทย ที่จะต่อกรกับ 2 มหาอำนาจใหญ่นี้ จะออกมาในรูปแบบไหน เป็นประเด็นที่น่าติดตาม
สนามบินอู่ตะเภา มีรันเวย์ยาว 11,500 ฟุต มีลานจอดเครื่องบินขนาดใหญ่ 4 แห่ง มีความพร้อมในการรองรับอุปกรณ์สำคัญสำหรับปฏิบัติภารกิจทางด้านการทหาร เช่น ลานจอดเครื่องบินเติมน้ำมันทางอากาศ เครื่องบินสอดแนมในการลาดตระแวนระยะไกล นอกจากนี้ยังมีพื้นที่จอดและโรงเก็บเครื่องบิน ตลอดจนพื้นที่ที่ติดกับทะเลและยังมีถนนยุทธศาสตร์ ถนนสาย 311 ที่เชื่อมสนามบินอู่ตะเภาและฐานบินต่างๆ กับถนนสายหลักอื่น ที่เอื้อต่อปฏิบัติการส่งกำลังบำรุงได้เป็นอย่างดี จึงสามารถประหยัดงบประมาณไปเป็นจำนวนมาก และจากข้อได้เปรียบเรื่องการปฏิบัติการด้านการรบ ภารกิจลับทางทหารที่เคยใช้เป็นฐานทัพ เมื่อเปรียบเทียบกับที่อ่าวกามแร็งห์ หรือ คัมรานห์ ประเทศเวียดนาม และเกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์ สามารถนำเครื่องบินรบบินจากอู่ตะเภาไปยังมหาสมุทรอินเดียทางด้านตะวันตกและมหาสมุทรแปซิฟิกทางด้านตะวันออกได้โดยไม่ต้องผ่านน่านฟ้าของประเทศอื่น และเมื่อสถานการณ์ของโลกเปลี่ยนไป อาเซียนได้รวมตัวกันทางเศรษฐกิจตั้งเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี จนทำให้ภูมิภาคนี้กลายเป็นคู่ค้าที่สำคัญมากของประเทศจีน เช่นเดียวกับสหรัฐ ที่มองเห็นความสำคัญของภูมิภาคอาเซียน หาหนทางเข้ามาเอี่ยวผลประโยชน์นี้ด้วย
แต่ปัญหาของสหรัฐคือ มีฐานทัพอยู่ในภูมิภาคสำคัญนี้เพียงแห่งเดียว ที่ฐานทัพเรือที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการกดดันจีน จึงเป็นที่มาให้สหรัฐกลับมาฟื้นฟูฐานทัพเก่าในประเทศไทยอีกครั้ง และในเดือนพฤษภาคมของปีที่แล้ว สหรัฐอเมริกาจะประสานมายังรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อขอใช้สนามบินอู่ตะเภาและภูเก็ต เป็นฐานสำรวจการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติชองชาวโรฮิงญา ในมหาสมุทรอินเดียอีกครั้ง
รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ได้แก้ลำตอบกลับไปว่า รัฐบาลไทย จะตั้งศูนย์อำนวยการลาดตระเวนและช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมผู้โยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดียเอง เพื่อให้กองทัพไทยเป็นผู้ควบคุมและเป็นผู้นำร่องในการปฏิบัติการต่างๆ และจะดำเนินการตามกฎ กติกาที่กำหนด เจ้าหน้าที่ระดับสูงในทำเนียบรัฐบาลให้ข้อมูลว่า เรื่องนี้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ พิจารณาด้วยความระมัดระวัง เพราะไทยอยู่กึ่งกลางของ 2 มหาอำนาจสหรัฐและจีน คำตอบที่ให้แก่สหรัฐในเบื้องต้นคือ ไทยจะใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินพาณิชย์ ไม่ใช่เป็นสนามบินทางทหาร แต่สหรัฐก็ยังไม่ละความพยายาม ได้ขอใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นครั้งคราว

ล่าสุด เมื่อวันที่ 19 มกราคม ที่ผ่านมา ได้ทำเรื่องขอใช้สนามบินอู่ตะเภาในการขนย้ายกำลังพลที่จะเดินทางมาฝึกคอบร้าโกลด์ 2016 ครั้งที่ 35 ระหว่างวันที่ 9-19 กุมภาพันธ์นี้ ขณะที่ นายแพทริค เมอร์ฟี อุปทูตสหรัฐอเมริกา พูดเรื่องความสัมพันธ์กับไทยเพียงว่า สหรัฐยังมองเห็นความสำคัญ และต้องการจะสนับสนุนให้ไทยก้าวมาสู่ความเข้มแข็ง โดยที่เร่งฟื้นฟูความเป็นประชาธิปไตย เพราะเรามีความสัมพันธ์มาถึง 183 ปี ซึ่งถือว่าไม่ใช่สิ่งเล็กๆหน่วยข่าวความมั่นคงของไทยมองเรื่องนี้ว่า เป็นการได้ไม่คุ้มเสีย หากไทยยอมให้สหรัฐใช้สนามบินอู่ตะเภา แม้ข้อดีที่ไทยได้รับคือ เรื่องงบประมาณและเทคโนโลยี แต่ข้อเสียจะมีมากกว่า ทั้งส่งผลกระทบและสร้างความหวาดระแวงให้แก่กลุ่มต่อต้านอเมริกา กลุ่มก่อการร้าย รวมถึงประเทศมหาอำนาจอย่างจีนที่เป็นคู่แข่งกับอเมริกาทั้งทุกๆ ด้าน ที่สำคัญคือ พื้นที่ตรงนี้ถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ เป็นจุดกึ่งกลางของอาเซียน ทั้งยังอยู่ใกล้จีนกับอินเดีย สนามบินอู่ตะเภายังคงพื้นที่ต้องตาต้องใจของกองทัพสหรัฐอยู่ จุดยืนของไทยก็ชัดเจนมาโดยตลอดว่าไม่ต้องการใช้สหรัฐฯก้าวล้ำในประเด็นที่มีความอ่อนไหว ทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับมหาอำนาจอย่างจีน
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ได้เลือกจีนแต่ไม่เลือกสหรัฐฯ เพราะฉะนั้นต้องจับตามองกันต่อไปว่าต่อจากนี้สหรัฐฯจะใช้ช่องทางใดกดดันรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์เพื่อให้ได้ในสิ่งที่หมายปอง