ติดขัดอะไร คดีฟอกเงิน-รับของโจร “พานทองแท้” กว่า10ปียังฟ้องไม่สำเร็จ

ติดขัดอะไร คดีฟอกเงิน-รับของโจร “พานทองแท้” กว่า10ปียังฟ้องไม่สำเร็จ

หลังจากที่ปล่อยให้อึมครึมมาพักใหญ่ จากคดีซึ่งเป็นผลมาจากคดีหลักทุจริตการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยให้กับบริษัทในเครือกฤษดามหานคร โดยที่ผู้บริหารของธนาคารหลายรายถูกพิพากษาจำคุก

อย่างไรก็ตามพฤติการณ์ของตัวละครที่เกี่ยวข้องนั้น ลากโยงไปถึงนายพานทองแท้ ชินวัตร กับพวกอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งพบว่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงิน จนถูกดำเนินคดี ฐานร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร

และเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม จากการแถลงของอัยการสูงสุดกลับพบความผิดปกติ เกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินคดีที่ล่าช้า จนอาจทำให้บางข้อกล่าวหาหมดอายุความเลยทีเดียว

นายวินัย ดำรงค์มงคลกุล ผู้ตรวจราชการอัยการ อดีตเจ้าของสำนวนคดีปล่อยกู้แบงก์กรุงไทย และ นายโกศลวัฒน์ อินทุจรรยงค์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ร่วมกันแถลงข่าว จากคดีระหว่าง อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร กับพวกรวม 27 คน เป็นจำเลยในความผิดฐาน เป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, ความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ

ซึ่งศาลฎีกาฯ นักการเมือง ได้อ่านคำพิพากษา เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2558ต่อมาได้ปรากฏตามการนำเสนอของสื่อมวลชน เกี่ยวกับเรื่องไม่มีการดำเนินคดี กับ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย นายทักษิณ

 

นางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขาธิการส่วนตัว คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภรรยานายทักษิณ

 

นายวันชัย หงษ์เหิน สามีนางกาญจนาภา

และนายมานพ ทิวารี บิดา น.ต. ศิธา ทิวารี อดีต ส.ส.เพื่อไทย ในความผิดฐานรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 นั้น

นายวินัย กล่าวว่า คดีนี้ คณะกรรมการตรวจสอบ (คตส.) ได้เคยมีหนังสือลงวันที่ 16 มิถุนายน 2551 ขอให้อัยการสูงสุด ดำเนินคดีกับ นายทักษิณ กับพวกรวม 27 คน ฐานร่วมกันหรือสนับสนุนในการกระทำความผิดอันเข้าข่ายเป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหาย แก่ธนาคารกรุงไทย ผู้ถือหุ้นและประชาชน ผู้หนึ่งผู้ใด และ/หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นกรรมการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของธนาคารกรุงไทย กระทำความผิดหน้าที่ของตนโดยกระทำการและ/หรือไม่กระทำการโดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของธนาคารกรุงไทย ผู้ถือหุ้นและประชาชน ผู้ฝากเงินและ/หรือให้ความช่วยเหลือ ให้ความสะดวกในการกระทำความผิด

นอกจากนี้ ยังขอให้ดำเนินคดี กับ นายพานทองแท้ ชินวัตร นางกาญจนาภา หงษ์เหิน นายวันชัย หงษ์เหิน นายมานพ ทิวารี ผู้ถูกกล่าวหาอีก 4 คน ในความผิดฐานรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357

ซึ่ง นายจุลสิงห์ วสันต์สิงห์ อัยการสูงสุด ในขณะนั้น มีการพิจารณาแล้ว เห็นว่า การที่ คตส. ให้ดำเนินคดีกับ นายพานทองแท้ ชินวัตร กับพวก ฐานรับของโจรนั้น เป็นการกระทำความผิดหลังการกระทำความผิดของผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 27 คน

ในคดีปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตได้กระทำเสร็จสิ้นไปแล้ว และผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 มิได้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงต้องแยกฟ้องต่อศาลอาญาที่มีเขตอำนาจต่อไป ดังนั้น เมื่อผู้ถูกกล่าวหาทั้งสี่ มิได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และมิได้เป็นตัวการ ผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิด

จึงไม่อาจเป็นผู้ถูกกล่าวหาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 คตส.จึงไม่มีอำนาจไต่สวน ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 และไม่อาจมีความเห็นในความผิดฐานรับของโจร

โดยหากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประสงค์จะดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 ก็ควรที่จะต้องร้องทุกข์กล่าวโทษ เพื่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แยกต่างหากจากคดีนี้

นายวินัย กล่าวต่อไปว่า ในการดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 ฐานรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 นั้น ในสำนวนการตรวจสอบไต่สวน ไม่ปรากฏบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา แก่ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 ในฐานความผิดดังกล่าว ซึ่งในที่ประชุมคณะทำงานผู้แทนทั้งฝ่ายอัยการและ ป.ป.ช. เคยได้ประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2552 แล้วมีมติว่า กรณีข้อไม่สมบูรณ์เกี่ยวกับการแจ้งข้อกล่าวหา และอำนาจการไต่สวนของ คตส. ในประเด็นรับของโจร ของ นายพานทองแท้ ชินวัตร กับพวกรวม 4 คน เห็นว่า ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และเมื่อมีข้อยุติในการฟ้องคดีเฉพาะผู้ถูกกล่าวหา 27 รายดังกล่าว

อัยการสูงสุด จึงไม่อาจดำเนินคดี กับนายพานทองแท้ ชินวัตร กับพวกรวม 4 คน ในข้อหารับของโจรได้ โดยเป็นเรื่องของพนักงานสอบสวน ที่จะต้องดำเนินการแยกการสอบสวนไปดำเนินคดีต่างหากจากคดีนี้ ซึ่งคดีในส่วนนี้ยังไม่ได้ยุติ ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินคดีของพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษอยู่

แถลงมาถึงตรงนี้สามารถสรุปสาระสำคัญของเรื่องก็คือว่า ตอนนี้กระบวนการตรวจสอบนายพานทองแท้กับพวก อยู่ที่ดีเอสไอ ซึ่งต้องรอให้มีการสั่งฟ้องขึ้นมา

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีการแจ้งความคืบเรื่องการดำเนินคดีในส่วนของ นายพานทองแท้ และพวกอีก 3 คน มาบ้างหรือไม่ เพราะถ้าไม่มีการแจ้งข้อหาใด ไม่มีการสอบสวน อัยการจะไม่มีอำนาจฟ้อง

นายวินัย กล่าวว่า ทางดีเอสไอ มีการประสานเรื่องคำขอเอกสารไปประกอบการพิจารณาการสอบสวน แต่ยังไม่ทราบว่า ขั้นตอนไปถึงไหนแล้วซึ่งเบื้องต้นก็ทราบอีกว่า มีผู้เสียหายได้ไปร้องให้ดำเนินการสอบสวนนายพานทองแท้กับพวก 2 ข้อหา

คือ ข้อหารับของโจรและข้อหาฟอกเงิน โดยคดีรับของโจรนั้นมีอายุความ10 ปี และอัตราโทษไม่เกิน 5 ปี ส่วนข้อหาฟอกเงินมีอายุความ 15 ปี ส่วนอัตราโทษไม่เกิน 10 ปี

เมื่อถามว่า ข้อหาทั้ง 2 นี้ อายุความเริ่มนับตั้งแต่ตอนไหน นายวินัยตอบว่า นับอายุความตั้งแต่เวลาที่การกระทำความผิด เกิดขึ้น คือปี 2547

 

ถามต่อว่า คดีรับของโจรนั้นหมดอายุความไปแล้วใช่หรือไม่ นายวินัย ตอบว่า ไม่แน่ใจว่าหมดอายุความไปหรือยัง ต้อง เหตุที่เกิดอาจจะมีความต่อเนื่องก็ได้ แต่อยากให้ลองไปถามความคืบหน้าคดีกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพราะทางอัยการไม่มีหน้าที่ไปร้องทุกข์กล่าวโทษแต่อย่างใด

หากคดีหมดอายุความหน่วยงานไหนจะเป็นผู้รับผิดชอบด้านการสอบสวนต่อ ที่เกิดจากความผิดพลาดเรื่องการล่าช้าต่อไปได้หรือไม่ นายวินัย กล่าวว่า ไม่ทราบ ตนไม่สามารถให้ความเห็นได้ และไม่ทราบว่า ล่าช้าเพราะอะไร

ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งกับการตั้งคำถามจากผู้สื่อข่าวว่า ถ้าหากคดีหมดอายุความใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อกระบวนการที่ล่าช้าดังกล่าว

อย่างไรก็ดีเพื่อให้เกิดความชัดเจนทั้งเรื่องการฟอกเงินและคดีรับของโจร ว่านายพานทองแท้กับพวกได้เข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไร เราก็จะได้ย้อนเรื่องราวให้ได้รับทราบ

เราจะต้องย้อนกลับไปตรวจสอบสำนวนคดีของ คตส.ว่าระบุถึงพฤติกรรมของนายพานทองแท้กับพวกเอาไว้อย่างไรบ้าง

สำหรับหลักฐานที่ทำให้ คตส. มีความเห็นให้ดำเนินคดีนายพานทองแท้และพวกว่ารับของโจร เพราะมีเส้นทางเงินตีเช็คสั่งจ่ายเข้าบัญชีนายพานทองแท้ และพวก

โดยในชั้นไต่สวนของ คตส. นั้น นายพานทองแท้ แก้ต่างว่า เงินที่โอนมาจากนายรัชฎา กฤษดาธานนท์ ลูกชายนายวิชัย กฤษดาธานนท์ ผู้บริหาร บมจ.กฤษดามหานคร ในรูปของเช็คสั่งจ่าย จำนวน 26 ล้านบาท เป็นเงินที่โอนมาเพื่อร่วมลงทุนในธุรกิจ

แต่ต่อมาธุรกิจที่นายพานทองแท้ จะลงทุนยังไม่ได้ดำเนินการอะไร จึงส่งเงินกลับคืนไปให้เจ้าของเดิม ส่วนจะมีเงินโอนส่วนใดเข้ามาเพิ่มเติมอีกหรือไม่ นายพานทองแท้ บอกว่าไม่ทราบ จำรายละเอียดไม่ได้ เนื่องจากนายรัชฎา มีธุรกิจที่มาร่วมลงทุนกันหลายอย่าง

และในการชี้แจงต่อ คตส. ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ก็ยืนยันว่านายพานทองแท้ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แต่อย่างใด เงินที่ถูกระบุว่าได้รับการโอนมาเข้าบัญชีก็เป็นเงินโอนมาเพื่อร่วมลงทุนด้วยกันเท่านั้น

นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการ คตส.ได้เขียนบทความเรื่องคดีทุจริตเงินกู้ธนาคารกรุงไทยภาค 2 ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ฉบับวันที่ 31 สิงหาคม 2558 โดยตอนหนึ่งได้พูดถึงพฤติกรรมรวมกระทำความผิดของนายพานทองแท้เอาไว้ค่อนข้างชัดเจน

โดยบทความตอนหนึ่งระบุถึงกรณีที่คดีดังกล่าวเข้าไปเกี่ยวพันกับนายทักษิณว่า เป็นฝีมือตรวจสอบของ คตส. ที่เชื่อว่างานนี้กรรมการและเจ้าหน้าที่ธนาคารไม่ได้สินบนเงินทองอะไร แต่ต้องมีอำนาจขนาดใหญ่มาบงการ จึงระดมสรรพกำลังขอตำรวจเศรษฐกิจและเจ้าหน้าที่ธนาคารชาติ

มาตรวจสอบเส้นทางการเงิน จนพบว่าเงินกู้ก้อนนี้ไหลไปอยู่ในชื่อของบริวารนายกฯ และคุณหญิง 105 ล้าน และยังมีจ่ายเป็นเช็ค 17 ล้านเข้าบัญชีลูกชายนายกฯ ด้วย โดยเช็คใบนี้เขียนสั่งจ่ายและขีดฆ่าภายหลัง เมื่อสอบปากคำบรรดากรรมการโดยละเอียด

ก็ได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่างานนี้ประธานบอกกับที่ประชุมว่า “บอส” สั่ง จึงขอให้ยอมอนุมัติกันไปหลักฐานทั้งปากคำและการส่งเงินทั้งหมดนี้ มันแวดล้อมให้ คตส.เชื่อได้ว่า "บอส" คนนั้น คือ ทักษิณ คตส.จึงมีมติให้ฟ้อง ทักษิณเป็นจำเลยที่ 1 ด้วย คดีนี้จึงขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง แต่นักการเมืองก็หนีไป ทิ้งให้บรรดากรรมการและเจ้าหน้าที่ตาดำๆ ติดคุกเช่นทุกวันนี้

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ดีเอสไอรับเรื่องไปดำเนินการต่อ หากจำกันได้มีการออกหมายเรียกนายพานทองแท้กับพวกหลายครั้ง ก่อนที่เจ้าตัวจะหลบสื่อมวลชนไปให้ข้อมูล ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา แต่ดีเอสไอก็ยังไม่สามารถปิดสำนวนคดีได้

2 มี.ค. นายพานทองแท้ ติดต่อเข้าพบพนักงานสอบสวน โดยทาง ดีเอสไอ ประสานไปยัง สำนักการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด ให้ส่งอัยการเข้าร่วมการสอบสวนด้วย

จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าดีเอสไอจะสรุปสำนวนคดีนายพานทองแท้ได้หรือไม่อย่างไร แต่นั่นก็ทำให้ดีเอสไอถูกตั้งคำถามจากสังคมมาโดยตลอด เพราะมีการเปลี่ยนแปลงตัวอธิบดีดีเอสไอไปแล้วหลายคนในช่วงเวลานับ 10 ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีใครสามารถสรุปสำนวนคดีนี้ได้

อัยการสูงสุด (อสส.) รับคดีนี้เมื่อปี 2551 ซึ่งขณะนั้นมี

 

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นอธิบดีดีเอสไอ

 

ยุคต่อมาคือ นายธาริต เพ็งดิษฐ์

 

พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์

 

นางสุวณา สุวรรณจูฑะ

 

และปัจจุบันก็คือพ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง