- 23 พ.ย. 2559
จากกรณี สำนักงานอัยการสูงสุด มีความเห็นควรสั่งฟ้องพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในฐานะผู้ต้องหาที่ 2 และ น.ส.ศศิธร โชคประเสริฐ ผู้ต้องหาที่ 5 ในฐานความผิดสบคบกันฟอกเงิน ร่
จากกรณี สำนักงานอัยการสูงสุด มีความเห็นควรสั่งฟ้องพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในฐานะผู้ต้องหาที่ 2 และ น.ส.ศศิธร โชคประเสริฐ ผู้ต้องหาที่ 5 ในฐานความผิดสบคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจร ในคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด
ย้อนกลับไปครั้งหนึ่งตัวแทนลูกศิษย์วัดพระธรรมกายได้พูดถึงเงื่อนไขการดำเนินคดีกับพระธัมมชโยว่าต้องรอให้ประเทศนั้นกลับเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ก็ทำให้เกิดการตั้งข้อสังเกตอีกครั้งหนึ่งว่าข้อเท็จจริงนั้นวัดพระธรรมกายต้องการที่จะลากโยงเรื่องของคดีความไปเป็นเรื่องของการเมืองใช่หรือไม่
เพราะครั้งหนึ่งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็เคยช่วยเหลือพระธัมมชโยในคดียักยอกทรัพย์เมื่อปี 2549 มาแล้ว
เพราะฉะนั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจนในวันนี้สำนักข่าวทีนิวส์ก็จะได้ย้อนลำดับให้คุณผู้ชมได้เห็นว่าเรื่องการเมืองกับวัดพระธรรมกายนั้นไม่ใช่เรื่องที่ไกลกันเลยแม้แต่น้อย
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2559 ตัวแทนศิษยานุศิษย์ อ่านแถลงการณ์ว่า เนื่องจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อป่วย มีอาการอาพาธมากแล้ว คณะศิษย์เห็นพ้องต้องกันว่าควรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยการมอบตัวก็ต่อเมื่อบ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติ คือเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์
เพราะการที่บ้านเมืองไม่เป็นปกติย่อมทำให้ขาดหลักประกันสิทธิเสรีภาพในกระบวนการยุติธรรม การคุกคามและการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาของพระภิษุสงฆ์นอกรีต หรือคนบางคน และการชะลอการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชฯ และการที่ดีเอสไอ จะเข้าดำเนินการโดยล้อมวง รวบรัด ผิดข้อตกลงจากเจ้าคณะปกครอง และผู้ปกครองของสำนักงานพระพุทธศาสนา
การดำเนินคดีกับพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในคดีรับของโจรและฟอกเงิน โดยเรื่องนี้นั้นจะนำพาสถานการณ์ของประเทศไทยไปสู่ความวุ่นวายทางการเมืองและมีฝ่ายต่อต้าน คสช.เข้ามาเพื่อที่จะฉวยโอกาศเพื่อนำมาเป็นเงื่อนไขบั่นทอนรัฐบาล คสช.หรือไม่ ซึ่งเมื่อได้พิจารณาความเชื่อมโยง ก็จะสามารถจำแนกออกได้ดังต่อไปนนี้
ประเด็นแรก คดีธัมมชโยยักยอกทรัพย์สินของวัด ซึ่งอัยการได้ถอนฟ้อง หรืออาจจะมองได้ว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นใบสั่งทางการเมืองก็เป็นได้
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2541 พระอดิศักดิ์ วิริสโก อดีตพระลูกวัดพระธรรมกาย กล่าวหาว่า พระธัมมชโยนั้นยักยอกเงินและที่ดินบรรดาญาติโยมที่บริจาคให้กับวัด และมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสสม เช่น ใกล้ชิดสีกา และอวดอุตริมนุสธรรม ต่อมากรมที่ดินได้สำรวจก็พบว่าพระธัมมชโยนั้นมีชื่อเป็นเจ้าของฉโนดที่ดินและบริษัทที่เกี่ยวกับวัดพระธรรมกายกว่า 400 แปลง ซึ่งมีเนื้อที่กว่า 2 พันไร่ ในจังหวัดพิจิตรและชียงใหม่
ต่อมากรมการศาสนาจึงได้เข้าแจ้งความต่อกองปราบปราบกล่าวโทษในคดีอาญา มาตรา 137 , 147 และ 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังยักยอกและปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบจำนวน 6.8 ล้านบาท เพื่อไปซื้อที่ดินที่เขาพนมพา ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร โดยโอนกรรมสิทธิ์ใส่ชื่อนายถาวร จำเลยที่ 2 และนำเงินอีกกว่า 30 ล้านบาทไปซื้อที่ดินกว่า 900 ไร่ ในตำบลหนองพระ (จ.พิจิตร) และที่ ต.ท่าข้าม อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ โดยโอนกรรมสิทธิ์ให้นายถาวร พรหมถาวร ลูกศิษย์
นอกจากนี้ ยังมีอดีตทนายความวัดพระธรรมกายและประชาชนที่เคยเลื่อมใสศรัทธา ในวัดพระธรรมกาย เข้าแจ้งความดำเนินคดีพระธัมมชโยเช่นกัน ฐานฉ้อโกงเงิน 35 ล้าน โดยแยกเป็นคดีความทั้งหมด 5 คดี
จากพยานหลักฐานในตอนนั้น เรียกว่า คดีของ“ธัมมชโย” มีแนวโน้มว่าจะถูกตัดสินจำคุกหลายปี แต่ทว่าเกือบ 7 ปี ของการดำเนินคดี ตั้งแต่ปี 2542-2547 เหลือสืบพยานจำเลยอีก 2 นัด ในวันที่ 23 และ 24 สิงหาคม 2549 เท่านั้น แต่แล้วในวันที่ 21 สิงหาคม พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 ซึ่งเป็นโจทก์ ก็ขอถอนฟ้องจำเลย คือ พระธัมมชัยโย และ นายถาวร พรหมถาวร ลูกศิษย์
โดยเรืออากาศโทวิญญู วิญญกุล อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา5 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาล สรุปว่า ปัจจุบันจำเลยที่1 กับพวก ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาตรงตามพระไตรปิฎกและนโยบายของคณะสงฆ์ ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
ทำให้เป็นที่ยอมรับทั่วไป ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งได้ให้ความร่วมมือช่วยเหลือกิจการของศาสนา ทั้งของคณะสงฆ์ ภาครัฐและเอกชนจำนวนมาก ส่วนด้านทรัพย์สินนั้น จำเลยที่1กับพวก ได้มอบทรัพย์สินทั้งหมดคืน ทั้งที่ดินและเงินจำนวน 959,300,000บาท คืนให้แก่วัดพระธรรมกาย
การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1 กับพวก จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ครบถ้วนทุกประการแล้ว ประกอบกับขณะนี้ บ้านเมืองต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของคนในชาติทุกหมู่เหล่า เห็นว่าหากดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยกในศาสนจักรและไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ นายพชร ยุติธรรมดำรง ซึ่งเป็นอัยการสูงสุดในขณะนั้น จึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องคดีนี้ โจทก์จึงขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ทุกข้อกล่าวหา
แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ ก่อนหน้าที่อัยการจะถอนฟ้องเพียงเดือน เศษ ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2549 พล.อ.อ. คงศักดิ์ วันทนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ได้ใช้สถานที่วัดพระธรรมกาย จัดงาน “ รวมใจทุกศาสนา พัฒนาท้องถิ่นไทย ถวายองค์ราชา ครองราชย์ 60 ปี “ โดยระดมเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั่วประเทศ 80,000 คน มาร่วมงาน ซึ่งมี นายทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานและกล่าวปาฐกถา ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมขับไล่นายทักษิณ
อนึ่งพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชที่ระบุอย่างชัดเจนว่าพระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกนั้นมีอยู่ด้วยกันถึง 5 ฉบับ ยกตัวอย่างฉบับที่ 3 ที่ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนดังนี้
การโกงสมบัติผู้อื่นตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไปคือประมาณไม่ถึง 300 บาทในปัจจุบัน ภิกษุนั้นต้องอาบัติปาราชิกฐานผิดพระธรรมวินัยพ้นจากความเป็นพระทันที ในกรณีนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้รู้เห็นหรือไม่ ไม่ว่าจะมีการสั่งให้สึก ไม่ว่าจะมีการจับสึกหรือไม่ก็ตาม
ภิกษุผู้ละเมิดพระธรรมวินัยข้อนี้ต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระโดยอัตโนมัติ ที่ประกาศเป็นลายลักษณ์อักษรก็เพื่อเตือนให้รู้ทั่วกันว่า ผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้นไม่ใช่พระในพุทธศาสนา เป็นเพียงผู้นำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง เป็นพระปลอม
ต่อจากนั้นย่อมเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้รักษากฎหมาย หรือของผู้มีหน้าที่ในการพุทธศาสนา จะต้องรักษาพระพุทธศาสนาไม่ให้มีพระปลอมมาทำลาย ทำให้เสื่อมเสีย เช่นที่ผู้รักษากฎหมายเคยทำมาแล้ว เคยบังคับให้เป็นผู้ปลอมเป็นพระ ถอดผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากตัว การปฏิบัติต่อพระปลอมต้องไม่มีแตกต่างกัน ต้องไม่มียกเว้นว่า คนนั้นปลอมได้คนนี้ปลอมไม่ได้ เป็นพระปลอมมีอยู่ในพุทธศาสนาไม่ได้ทั้งนั้น
ประกาศนั้นเป็นคำบอกเล่าเป็นคำเตือนให้รู้ เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับมหาเถรฯไม่บังคับให้เชื่อ ไม่บังคับใครให้ทำอะไร แสดงความถูกผิดให้ปรากฏอยู่เท่านั้น ในฐานะที่เป็นประมุขแห่งสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงต้องทำหน้าที่ส่วนตนให้เรียบร้อยถูกต้อง บอกความจริงด้วยความหวังดีมิได้บังคับ จงเข้าใจทั่วกัน
ในขณะเดียวกันกันสมเด็จพระสังฆราชยังขอให้ มหาเถรสมาคมช่วยกันดำเนินการให้ถูกต้อง และกลับไม่ได้รับความร่วมมือใดๆเลย
ส่วนในประเด็นข้อสงสัยว่าเหตุใดอัยการจึงตัดสินใจถอนฟ้องพระธัมมชโยอย่างกะทันหันนั้น ถูกเพ่งเล่งไปที่การสมผลประโยชน์ระหว่างรัฐบาลทักษิณกับ วัดธรรมกายที่มีมวลชนสนับสนุนเป็นจำนวนมาก
เพราะในช่วงนั้นกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกำลังปักหลักชุมนุมขับไล่นายทักษิณอย่างหนัก และก็มีอยู่หลายครั้งที่เหมือนว่า รัฐบาลพยายามจะใช้มวลชนจากวัดธรรมกายมาชุมนุมตอบโต้กลุ่มพันธมิตรเช่นเดียวกัน โดยอ้างถึงกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา
ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงเดือนมีนาคม 2549 พ.อ.ไชยนาจ ญาติฉิมพลี นายกสมาคมเปรียญธรรมสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ร่วมกับเครือข่ายชาวพุทธ สมาพันธ์ชาวไทยทั้งชาติ ได้ตกลงร่วมกันว่า จะมีการจัดงานเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความสามัคคีแก่ปวงชนชาวไทยในวันเสาร์ที่ 25 มีนาคม ณ ท้องสนามหลวง ตั้งแต่เวลา 18.00 –19.00 น.โดยมี พลเอกเรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานทางฆราวาส และมีพระมหาเถระทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงกว่า 30,000 รูป ร่วมงาน “เจริญพุทธมนต์ ความสวัสดีแก่ปวงชนชาวไทย”
นับจากนั้นเป็นต้นมาความสัมพันธ์ระหว่าง เครือข่ายทักษิณ และวัดธรรมกาย จึงมีความแน่นแฟ้นและเกาะกลุ่มเป็นแนวร่วมผลประโยชน์กันมาโดยตลอด และเมื่อใดก็ตามที่ฝ่ายเครือข่ายทักษิณ ตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบทางการเมือง วัดพระธรรมกายก็จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือไปทางใดทางหนึ่งเสมอ
นอกจากนี้ วัดพระธรรมกายยังเคยให้ที่ซ่องสุม กองกำลังชุดดำ ต่อต้านตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อช่วงปี 2555
ย้อนกลับไป ช่วงเดือนมิถุนายน 2555 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมได้สั่งการผ่าน 3 หน่วยในสังกัด โดยเฉพาะกรมอุทยานแห่งชาติและพันธ์พืช ซึ่งมีการเรียกผู้อำนวยการทั้ง 16 สำนักจัดหาลูกจ้างจำนวน 3,200 คน และลูกจ้างจากกรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่งอีกจำนวนกว่า 2,000 คน ร่วมเข้าค่ายธรรมะที่วัดพระธรรมกาย จนถึง 16 มิ.ย. ท่ามกลางกระแสข่าวว่ามีความพยายามจะนำลูกจ้างในสังกัด ของทั้งกรมอุทยานฯ เข้ามาร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงที่บริเวณหน้าด้านรัฐสภา
ทีมข่าวทีนิวส์ รุดเข้าตรวจสอบบริเวณภายในสวนสัตว์ดุสิต ภายหลังจากก่อนหน้านั้นพบว่าตลอดทั้งคืนของวันที่ 6 มิถุนายน พบการเคลื่อนไหวของรถกระบะ 30-40 คัน ขนชายฉกรรจ์ออกจากวัดพระธรรมกาย ขับเข้าไปยังสวนสัตว์ดุสิต หรือ เขาดิน และปักหลักค้างอยู่ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ซึ่งจากการเข้าตรวจสอบล่าสุดนานประมาณ 45 นาที ผู้สื่อข่าวก็ยังพบรถกระบะจำนวนหนึ่งจอดอยู่ภายในสวนสัตว์ดุสิต ส่วนตัวอาคารที่จอดรถก็ถูกขึงด้วยผ้าใบสีดำเป็นแนวยาวตลอด จนแทบไม่สามารถมองเห็นบรรยากาศและรายละเอียดต่าง ๆ จากภายนอกได้
แต่เมื่อผู้สื่อข่าวเดินเท้าเข้าไปดูบริเวณโดยรอบลานจอดรถ ซึ่งปกติถูกจัดให้เป็นที่จอดรถของผู้เข้ามาชมสวนสัตว์ พบกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนมากเดินไปมาอยู่ภายในพื้นที่ลานจอดรถ ขณะที่รถกระบะโฟร์วีลที่จอดเรียงรายอยู่ก็มีร่องรอยการถอดสติ๊กเกอร์ออกจากข้างตัวรถ เพื่อปกปิดข้อเท็จจริงบางอย่าง ในขณะที่บริเวณด้านในรถกลับพบเสื้อแจ็คเก็ตสีดำ ปักชื่อ อุทยานแห่งชาติคลองลาน (จ.กำแพงเพชร) แสดงเป็นหลักฐานอย่างชัดเจนของผู้เป็นเจ้าของ
และเมื่อผู้สื่อข่าวตรวจสอบความเคลื่อนไหวอาคารที่จอดรถในชั้นต่างๆ ก็พบกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งกำลังอยู่ในสภาพเตรียมเปลี่ยนเสื้อที่สวมใส่มาเป็นเสื้อยืดสีแดงเช่นเดียวกับมวลชนคนเสื้อแดง ที่กำลังชุมนุมกันอยู่ที่บริเวณหน้ารัฐสภาอย่างชัดเจน ซึ่งผู้สื่อข่าวได้ถ่ายภาพนิ่งเป็นหลักฐานก่อนออกจากพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากบรรยากาศบริเวณอาคารที่จอดรถเริ่มขมึงเกลียวและอาจเป็นอันตรายต่อการทำงานในฐานะสื่อมวลชนได้
นอกจากนี้สำนักข่าวทีนิวส์ เดินหน้าตรวจสอบกรณีกรมอุทยานแห่งช่าติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช จัดกำลังชายฉกรรจ์ไปซุ่มซ่อนอยู่ภายในสวนสัตว์เขาดิน และมีภาพหลักฐานว่ากลุ่มคนดังกล่าว ได้เปลี่ยนจากชุดลำลองปกติมาใส่เสื้อสีแดง ซึ่งขณะนี้กลุ่มแนวร่วม นปช. ก็กำลังดำเนินการชุมนุมอยู่ที่บริเวณด้านหน้ารัฐสภา เพื่อเคลื่อนไหวล่ารายชื่อขับไล่ตุลาการรัฐธรรมนูญ 8 คน ที่มีลงมติรับพิจารณาคำร้อง คัดค้านการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291
สำนักข่าวทีนิวส์ ได้ติดต่อไปยัง นายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่งไปปฏิบัติภารกิจที่สหรัฐอเมริกา เพื่อชี้แจงกรณีดังกล่าว ปรากฎว่า นายดำรงค์ได้ยอมรับว่าได้ส่งลูกจ้างของกรมอุทยานฯ ไปเข้าค่ายธรรมะจริง แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง ที่หน้ารัฐสภาแต่อย่างใด จนเมื่อปรากฎภาพหลักฐานชัดเจน ว่ามีการเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ สังกัดอุทยานแห่งชาติคลองลาน จ.กำแพงเพชร เข้าไปยังภายในสวนสัตว์ดุสิตจริง จากภาพเสื้อแจ็คเก็ตที่แขวนอยู่ภายในรถกระบะ และมีภาพการเปลี่ยนเครื่องแต่งกายของกลุ่มชายฉกรรจ์ มาใส่เสื้อยืดสีแดงอีกด้วย
จากการสอบถามกับการ์ดคนเสื้อแดงนปช. ปรากฎว่ามีการยอมรับว่าเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯได้เดินทางเข้ามาอยู่ในสวนสัตว์เขาเดินจริง ตามข้อมูลที่ได้รับว่าเพื่อทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับมวลชนคนเสื้อแดงที่มาเข้าร่วมกิจกรรมขับไล่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ประกอบกับในช่วงที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์บริหารประเทศอยู่นั้น วัดพระธรรมกายได้จัดกิจกรรมตักบาตรในพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจและสาธารณ จนมีประชาชนที่เดือดร้อนออกมาต่อต้าน แต่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี กลับเพิกเฉย มิหนำซ้ำยังดูเหมือนว่าจะสนับสนุนเสียด้วยซ้ำ เห็นได้จากการที่น.ส.ยิ่งลักษณ์และรัฐมนตรีสวมชุดขาวไปร่วมงานอย่างเปิดเผย
เมื่อวันที่ 18มี.ค.2555เวลา 06.00 น. ณ ถนนราชปรารภ ประตูน้ำ กรุงเทพฯ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เดินทางมาเป็นประธานฝ่ายฆราวาสและร่วมทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 22,600 รูป ฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้ขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า หนึ่งในโครงการตักบาตรพระ 1 ล้านรูป 77 จังหวัดทั่วไทย
คดีต่อมาของพระธรรมชโยก็คือ คดีฉ้อโกงเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่กำลังเป็นเรื่องเป็นราวอยู่ในขณะนี้
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2552 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ประสบกับปัญหาการขาดสภาพคล่องอย่างหนัก สวนทางกับความสำเร็จตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากการตรวจสอบพบว่า นายศุภชัย ศรีศุภอักษร ประธานสหกรณ์ฯ มีการลักลอบนำเงินออกไปจากสหกรณ์และส่งไปตามส่วนต่างๆ เป็นจำนวนเงินถึงกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งในจำนวนนั้นรวม พระธัมมชโยและเครือข่ายของวัดพระธรรมกายอยู่ด้วย
ช่วงเดือน ต.ค. 2558 สำนักคดีการเงินการธนาคาร โดย พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล ผู้บัญชาการฯ และหัวหน้าชุดตรวจสอบเส้นทางการเงินคดีดังกล่าว ระบุว่า มีกลุ่มผู้รับเช็คสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำนวน 878 ฉบับ วงเงิน 11,367 ล้านบาท
แบ่งออกเป็น 7 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย
กลุ่มผู้ต้องหา (นายศุภชัย และเครือข่าย)
นิติบุคคลที่มีมูลหนี้
กลุ่มสหกรณ์อื่น ๆ
กลุ่มนายหน้าที่ดิน
กลุ่มนิติบุคคลที่ไม่มีมูลหนี้
กลุ่มวัดพระธรรมกาย พระเทพญาณมหามุณี (พระธัมมชโย)
มูลนิธิรัตนอุบาสิกาจันทร์ และพระเครือข่าย
สำหรับกลุ่มวัดพระธรรมกายนั้น พนักงานสอบสวนดีเอสไอ ได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินเสร็จสิ้นแล้ว พบว่า ตั้งแต่วันที่ 5 มี.ค. 2552-15 ก.พ. 2554 รับเช็คจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น รวม 21 ครั้ง เป็นเงิน 1,205,160,000 บาท โดยไม่มีมูลหนี้กับสหกรณ์ฯ
ต่อมานายศุภชัยถูกศาลตัดสินจำคุกในคดียักยอกทรัพย์ ทำให้พนักงานสอบสวนเริ่มกระบวนการสอบปากคำผู้ที่รับเงินทั้งหมด ซึ่งในที่นี้รวมไปถึงพระธัมมชโยด้วย จนนำมาสู่การแจ้งข้อกล่าวหารับของโจรและร่วมกันฟอกเงิน
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 8 มี.ค.2559 นายศุภชัย ได้แถลงต่อศาลขอกลับคำให้การเดิมที่ปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี เป็นยินยอมให้การรับสารภาพ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษาว่า จำเลยผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก, 353, 354 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันรวม 8 กระทง จำคุกกระทงละระหว่าง 3-5 ปี รวมจำคุก 32 ปี คำให้การจำเลยรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้ 16 ปี พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วนับเป็นเรื่องร้ายแรง โทษจำคุกจึงไม่มีเหตุให้รอลงอาญา
ทั้งนี้ระหว่างที่พระธัมมชโยกำลังถูกตรวจสอบอย่างหนัก ทำให้มีการพูดถึงคดีเดิมที่อัยการถอนฟ้องไปเมื่อไป 2549 อีกครั้งหนึ่ง รวมถึง พระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชที่ระบุว่า พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก จนกระทั่งมีการยื่นเรื่องไปให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งได้มีมติออกมาให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก
20 ก.ค.2558 ผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีมติว่า ธัมมชโย ปาราชิกตามพระลิขิตพระสังฆราช จากการเบียดบังทรัพย์สินวัดธรรมกาย ยืดเยื้อเกือบ 7 ปี จึงยอมคืนทรัพย์ 959 ล้านบาท
ก่อนที่กระบวนการทั้งหมด จะถูกส่งไปตามขั้นตอนการปกครองทางสงฆ์ ให้มหาเถรสมาคมเป็นผู้ชี้ขาด แต่ว่ามหาเถรสมาคมได้มีมติออกมาว่า กรณีคำร้องอาบัติปาราชิกของพระธัมมชโยได้ยุติไปแล้ว ถ้าหากจะมีการตรวจสอบก็จะต้องยื่นคำร้องมาตามลำดับชั้นอีกครั้ง
10 ก.พ. 2559 มติมหาเถรสมาคม ยัน พระธัมมชโย ไม่ปาราชิก ชี้คดียักยอกเงินและที่ดิน จบตั้งแต่ศาลชั้นต้น และไม่มีการยื่นอุทธรณ์
มติดังกล่าวของมหาเถรสมาคมถูกครหาอย่างหนักว่า เป็นไปเพื่อช่วยเหลือพระธัมมชโย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มหาเถรสมาคมชุดนี้ มีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า “สมเด็จช่วง” เป็นพระอุปัชฌาย์ของ พระธัมมชโย ซึ่งในทางพระพุทธศาสนา ก็คือสถานะของพ่อกับลูกนั่นเอง
และถ้าหากย้อนกลับไปตรวจสอบที่มาของวัดพระธรรมกาย รวมไปถึงประวัติของพระธัมมชโย ก็จะแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างวัดพระธรรมกายกับวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มีการเกื้อหนุนจุนเจือกันมาตลอด
7 ธันวาคม 2554 เวลา 16.00 น. สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นประธานในพิธีถวายสัญญาบัตร พัดยศ และผ้าไตร แด่ พระราชภาวนาวิสุทธิ์
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเกี่ยวกับสายสัมพันธ์ส่วนตัว “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” เคยกล่าวไว้ว่า “อาตมาเองตั้งแต่เกิดมาจนถึงบัดนี้ 87 ปีแล้ว เพิ่งจะวันนี้เองที่ได้เดินบนกลีบกุหลาบ จึงชื่นใจ กรณีเป็นประธานเดินธุดงค์เดินดอกไม้”
และ “วัดปากน้ำกับวัดพระธรรมกายเป็นวัดพี่วัดน้อง หรือเสมือนหนึ่งว่า เป็นวัดเดียวกันมีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน วัดปากน้ำมีอะไร วัดพระธรรมกายมีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน”
ไม่เพียงเท่านั้น มีการตรวจสอบไปที่มหาเถรสมาคมแต่ละรูปพบประวัติว่าเคยร่วมกิจกรรมของวัดพระธรรมกาย จนมีการเก็งคะแนนว่ามีมหาเถรสมาคม 12 รูป จาก 20 รูปที่สนับสนุนวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโย
ซึ่งตอนนี้ที่สังคมกำลังตรวจสอบพระธัมมชโยและสมเด็จช่วงอย่างหนัก ปรากฎว่ามีบรรดาแกนนำฝ่ายคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยออกมาเคลื่อนไหวปกป้องกันอย่างออกหน้าออกตา
25 ก.พ.2558 นพ.เหวง โตจิราการ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้โพสต์ว่าวัดพระธรรมกายนั้นเป็นกลุ่มสงฆ์ที่เป็นฐานกำลังสำคัญของคนเสื้อแดง นปช. และอดีตนายกฯ ทักษิณ “เป็นการพุ่งปลายหอกเพื่อทำลายล้างกลุ่มพระสงฆ์ที่ถือว่าเป็น ฐานกำลังสำคัญของฝ่ายประชาธิปไตยฝ่ายคนเสื้อแดง ฝ่าย นปช.ฝ่ายอดีตนายกฯ ทักษิณ อย่างชัดแจ้ง”
ประกอบกับการดำเนินคดีกับสมเด็จช่วง ซึ่งมีผลต่อการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ก็ได้สร้างความไม่พอใจให้กับคณะสงฆ์กลุ่มหนึ่ง ที่นำโดย "พระเมธีธรรมาจารย์" (ประสาร จนฺทสาโร) หรือเจ้าคุณประสาร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ในฐานะเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ออกมาเคลื่อนไหวนำพระมาชุมนุมและยื่นหนังสือกดดันให้นายกรัฐมนตรีตั้งสมเด็จช่วงเป็นสมเด็จพระสังฆราช พร้อมทั้งพ่วงเรื่องของการปกป้องพระธัมมชโยและวัดพระธรรมกายเข้าไปด้วย
ที่น่าสนใจเพิ่มเติมก็คือพระเมธีธรรมาจารย์นั้นมีประวัติโยงใยกับแกนนำคนเสื้อแดงและเครือข่ายของพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด ทั้งในแง่ของการร่วมกิจกรรมและการเคลื่อนไหวต่างๆ
ประเด็นต่อมาที่น่าสนใจในตอนนี้ก็คือการพบอดีต การ์ดคนเสื้อแดงได้เข้าไปแผงตัวอยู่ในวัดธรรมกาย
ความสัมพันธ์ระหว่างวัดธรรมกายกับแกนนำพรรคเพื่อไทยและเครือข่ายคนเสื้อแดง ตามที่กล่าวมาทั้งหมดทั้งมวล ล้วนตอกย้ำเหตุการณ์ล่าสุดที่นายกิติศักดิ์ ศรีสุนทร หรือ แจ็ค อดีตการ์ดคนเสื้อแดง นุ่งขาวห่มขาวอยู่ภายใน วัดธรรมกาย พร้อมประกาศว่าจะปกป้อง “ธัมมชโย” ไม่ยอมให้ดีเอสไอเข้ามาจับกุม จนทำให้ถูกโยงเข้าเรื่องการเมือง ขณะที่เจ้าตัวยังออกมาอัดคลิปวีดีโอชี้แจงถึงกรณีดังกล่าว โดยตำหนิ เล็ก บ้านฉาง คนสนิทคนแดนไกล ที่เป็นคนหักหลังนำภาพต้นเหตุมาโพสต์ จนทำให้ตนถูกสังคมโจมตีอย่างหนัก หลังภาพถูกเผยแพร่
ส่วนนายเล็ก ก็ออกมาชี้แจงว่า รู้จักกับแจ๊คตั้งแต่ปี 2553 ในเวทีกลุ่มคนเสื้อแดง จากนั้นก็มาเจอที่วัดพระธรรมกาย ซึ่งตอนนั้นได้พยายามหาทางให้ แจ๊ค ลงทะเบียนที่วัดธรรมกายให้ได้ แต่เนื่องจากเจ้าหน้าที่ปฏิเสธถึง 2 ครั้ง ทำให้ตนเกิดความสงสัย นำเอารูปหญิงสาวหน้าตาดีรายหนึ่ง โพสต์เปรียบเทียบกับรูปที่ถ่ายนายแจ๊คเพื่อให้สังคมรับรู้ว่าทำไมนายแจ๊ค ที่มีใจสร้างกุศลเหมือนกันกลับไม่ได้ลงทะเบียน เพื่อทำให้เกิดประเด็นความสงสัยทางสังคม แต่ภายหลังไม่คาดคิดว่าจะถูกนำไปโยงการเมือง รวมทั้งกล่าวหาว่าตนในเชิงเลวร้าย ซึ่งตนได้พุดคุยกับฝ่าย แจ๊ค จนเป็นที่เข้าใจในระดับหนึ่งแล้ว ไม่ติดใจแต่อย่างใด พร้อมกับยืนยันว่าในวัดไม่มีกำลังคนเสื้อแดง ตามที่หลายฝ่ายสงสัยแต่อย่างใด มีเพียงญาติโยมที่เข้าไปปฏิบัติธรรมเท่านั้น
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง ได้ออกมาเปิดเผยว่า ภาพชายที่ถูกอ้างว่าเป็นการ์ด นปช. อยู่ในวัดพระธรรมกายนั้น เป็นการจงใจจัดฉากขึ้นมาเพื่อทำให้เข้าใจผิดว่าวัดดังกล่าวเป็นแหล่งส่องสุมกองกำลัง จึงขอให้ชายคนดังกล่าวแสดงตัวออกมาให้ชัดเจน ขอให้บอกว่าใครสั่งให้ไปสร้างเรื่องให้วัดพระธรรมกายเสื่อมเสีย เพราะนปช.ได้ตรวจสอบรายชื่อแล้ว ไม่มีในสารบบของการ์ด นปช. ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ธรรมดาแน่นอน ตนเชื่อว่าวัดพระธรรมกายกำลังถูกจัดฉาก สร้างสถานการณ์ให้เสื่อมเสีย
แต่ทว่า นายเอกภพ เหลือรา หรือ ตั้ง อาชีวะ ผู้ต้องหาหลบหนีคดี ม.112 ออกไปนอกประเทศ ได้ถ่ายทอดสดการสัมภาษณ์ นายกิตติศักดิ์ ศรีสุนทร หรือ แจ็ค ที่อ้างว่าเป็นบุคคลในภาพที่ถูกระบุว่าเป็นการ์ด นปช. เข้าไปปะปนกับศิษย์วัดพระธรรมกาย โดย นายกิตติศักดิ์ ระบุว่า ไม่ได้เป็นการ์ดเสื้อแดง แต่ยอมรับว่าเป็นกลุ่มเสื้อแดงที่ไปร่วมชุมนุมตั้งแต่ปี 2553 ส่วนการที่เข้าไปในวัดพระธรรมกายนั้น เป็นเพียงแค่การเข้าไปแสวงบุญ เนื่องจากศรัทธาในพระธัมมชโย
แต่จากการตรวจสอบข้อมูลในอดีตกลับพบว่านายกิตติศักดิ์ หรือการ์ดคนเสื้อแดงคนนี้มีความสัมพันธ์กับฝ่ายคนเสื้อแดงมาโดยตลอดและจัดอยู่ในกลุ่มที่ติดอาวุธ ทำให้การออกมาปฏิเสธทั้งหมดของบรรดาแกนนำ ถูกตั้งข้อสังเกตุว่าไม่ใช่ความจริง
ทั้งนี้การเคลื่อนไหวดังกล่าวล้วนสอดรับกับท่าทีของนายพานทองแท้ ชินวัตร ที่ออกมาโพสต์เฟซบุ๊คเปรียบเทียบกรณีดังกล่าวเหมือนเป็นการเลือกปฏิบัติ 2 มาตราฐานเกี่ยวกับการดำเนินคดีในวงการสงฆ์ หลังพระรูปหนึ่งซึ่งถือเป็นผู้ผู้ทรงศีลกำลังถูกเจ้าหน้าที่ไล่ล่า ขณะที่อีกคนกลับลอยนวล แม้นำมวลชนสร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองในช่วงที่ผ่านมาหรือมันคือสัญญานเตือนว่า กงเกวียน กำลังหมุนกลับ มาซ้ำรอยเดิม ฝ่าย”อกุศล”ในศาสนา กำลังเป็นใหญ่ ผู้ดำรงศีลที่แท้จริง กำลังถูกท้าทาย สัปบุรุษ กำลังจะพ่ายแพ้ แก่ทรชน นักปราชญ์ผู้ชี้ทาง กลับต่ำต้อยถูกดูแคลน“เมื่อผู้ใหญ่ถูกหาญหัก ให้กลายเป็นผู้น้อย กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม”
เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับประเด็นของนายกิตติศักดิ์ ศรีสุนทร อดีตการ์ดคนเสื้อแดงนั้น เราจะย้อนกลับไปเมื่อปี 2556 ซึ่งเขาคนนี้ก็เคยปรากฏตัวเป็นข่าวมาแล้วครั้งหนึ่ง
ย้อนหลังเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2556 นางสงวน แปน้อย อายุ 63 ปี ชาว อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น เข้าพบพนักงานสอบสวนที่ กองปราบปราม เพื่อร้องเรียนกรณีนายยืนยง แปน้อย อายุ 36 ปี บุตรชาย อดีตการ์ดเสื้อแดง ที่ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 4 ต.ค.2553 โดยแจ้งความไว้ที่ สภ.ประจันตาคาม จ.ปราจีนบุรี ท้องที่เกิดเหตุแต่ผ่านมา เกือบ 3 ปี แล้วคดีกลับไม่คืบ
นางสงวน กล่าวว่า ลูกชายเคยไปอยู่ที่ประเทศกัมพูชา ก่อนจะกลับมาทำงานที่กรุงเทพ ฯ โดยที่ตนไม่รู้ว่าทำงานอะไร ก่อนจะถูกอุ้มไปยิงเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม ได้เข้าไปร้องเรียนที่ สภ.ประจันตาคามแล้ว ครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินทางมาร้องที่กองปราบเพื่อให้เร่งรัดคดี
รายงานแจ้งว่า นายยืนยง เคยเป็นการ์ดให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงช่วงปี 2553 ต่อมาได้เข้าไปรับรู้ข้อมูลอะไรบางอย่างจนเกิดการขัดแย้งหักหลังภายในกลุ่มคนเสื้อแดงเอง จนทำให้ถูกอุ้มไปฆาตกรรม ซึ่งเชื่อว่ามีดีเจเสื้อแดง จ.เชียงใหม่ เป็นผู้บงการ
นอกจากนี้ ยังมีนายกิติศักดิ์ ที่ได้เดินทางมาด้วยและเป็นเพื่อนของผู้ตาย ได้เป็นพยานบุคคล ยืนยันนายยืนยงเป็นการ์ดของกลุ่ม นปช .ที่ถูกส่งตัวข้ามาช่วย กลุ่มคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ กรุงเทพฯเมื่อปี 2553 ก่อนที่จะถูกอุ้มหายตัวไป เมื่อวันที่ 4 ต.ค.2553 ในตอนเช้าและมาพบกลายเป็นศพอยู่ที่จังหวัดปราจีนบุรีต่อมานั้น ส่วนสาเหตุในการอุ้มครั้งนี้เป็นเพราะเรื่องขัดแย้งผลประโยชน์ ในกลุ่มนปช.ที่ผู้ตาย รู้ความลับขององค์กรมากเกินไป คนร้ายที่ร่วมอุ้มในครั้งนี้มีทั้งหมด 6 คน ซึ่งล้วนเป็นการ์ดคนเสื้อแดง(นปช.)ทั้งนั้น
จากการตรวจสอบความเคลื่อนไหวย้อนหลังของนายกิติศักดิ์ พบอีกว่าเขาเป็นคนคนเดียวกับคนที่อ้างว่าเป็นอดีตการ์ดนปช. ที่ทำการบันทึกภาพของตนเองเผยแพร่ในยูทูปก่อนหน้านี้ เพื่อทำการแฉการหักหลังกันเองของกลุ่มแกนนำและกองกำลังการ์ด
ทั้งการตายของนายยืนยังที่เพื่อนของเขาฟันธงว่าเป็นการฆ่าปิดปากเพราะไปล่วงรู้ความลับขององค์กรนปช.หรือกรณีคำยืนยันของนายกิตติศักดิ์ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังการตายของนายยืนยงก็คือแกนนำเสื้อแดงเชียงใหม่ ซึ่งสอดคล้องกันอย่างชนิดที่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญว่าข้อมูลที่ว่ามาทั้งหมดนั้น ตรงกับรายการการทำสำนวนคดีของดีเอสไอ ที่ได้จากการรับสารภาพของกองกำลังชุดดำที่ถูกจับได้เมื่อปี 2553 ว่าได้มีการไปฝึกอาวุธที่ประเทศกัมพูชาจริง และทยอยกลับเข้ามาในประเทศไทยเพื่อก่อเหตุต่างๆ ถึงขั้นสังหารผู้นำ
เรียบเรียงโดย ชนุตรา สำนักข่าวทีนิวส์






