กษัตริย์จอมทัพไทย !!! พระปรีชา "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ” ...เผยภาพทรงเป็นนักเรียนนายร้อย เพื่อผองไทย (มีภาพ)

พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร" ทรงประกอบพระราชกรณียกิจครั้งแรกขณะ 9 ชันษา ทรงดำรงพระอิสริยศักดิ์ในฐานะพระยุพราชมา 44 ปี มีความสนพระทัยในด้านกิจการทหารแ

ภัทระ คำพิทักษ์ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ได้โพสต์ภาพและข้อความระบุว่า

 

พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร" ทรงประกอบพระราชกรณียกิจครั้งแรกขณะ 9 ชันษา ทรงดำรงพระอิสริยศักดิ์ในฐานะพระยุพราชมา 44 ปี มีความสนพระทัยในด้านกิจการทหารและการบิน เมื่อครั้งสำเร็จการศึกษาจากอังกฤษเคยมีการระบุในพระราชประวัติที่มีการเผยแพร่ในครั้งนั้นว่า ทรงมีความรอบรู้และสนใจในเรื่องรัฐธรรมนูญ

 

พระองค์ท่านตามเสด็จฯ พระบรมราชชนกและพระราชชนนีออกไปปฎิบัติราชภาระกิจในที่ต่างๆ มากมาย

พระบรมฉายาลักษณ์นี้ มีผู้ฉายไว้แต่ครั้งพระองค์ท่านเป็นนักเรียนนายร้อย

ว่ากันแบบภาษาชาวบ้านก็ต้องว่า ทรงเท่มาก

ขอทรงพระเจริญ

กษัตริย์จอมทัพไทย !!! พระปรีชา "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ” ...เผยภาพทรงเป็นนักเรียนนายร้อย เพื่อผองไทย (มีภาพ)

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มิได้ทรงละเลยการฝึกบินแบบใหม่ๆ โดยทรงเข้ารับการฝึกบินกับเครื่องบินใบพัดแบบมาร์คเคตตี้ของฝูงขั้นปลาย โรงเรียนการบิน กองทัพอากาศ และฝึกบินกับเครื่องบินไอพ่นแบบที ๓๗ กับแบบที ๓๓ และจบหลักสูตรนักบินขับไล่ไอพ่นสมรรถนะสูงกับเครื่องบินขับไล่แบบเอฟ ๕ อี/เอฟ ของกองบิน ๑ ฝูงบิน ๑๐๒ รวมชั่วโมงบิน ๒๐๐ ชั่วโมง ด้วยความสนพระทัยอย่างมาก จนกระทั่งทรงพร้อมรบและครบ ๑,๐๐๐ ชั่วโมง เมื่อ ๑๗ เมษายน ๒๕๓๒ อีกทั้งยังทรงเข้าร่วมการแข่งขันใช้อาวุธทางอากาศประจำปี โดยทรงทำคะแนนได้สูงตามกติกา กองทัพอากาศจึงทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องหมายความสามารถในการใช้อาวุธทางอากาศชั้นที่ ๑ ประเภทอาวุธระเบิดสี่ดาว อาวุธจรวดสี่ดาว และอาวุธปืนสี่ดาว

 

 

 

 

ด้านการทหารนั้นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมที่ตั้งกองทหารหน่วยต่าง ๆ อยู่เสมอ จากการที่ได้ทรงศึกษาด้านวิชาทหารมานาน ทรงมีความรู้เชี่ยวชาญอย่างมาก และได้พระราชทานความรู้เหล่านั้นให้แก่ทหาร 3 เหล่าทัพ ทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างแก่นายทหาร เอาพระทัยใส่ในความเป็นอยู่ทุกข์สุขของทหารผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาอย่างทั่วถึง รวมทั้งพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เป็นทุนการศึกษาแก่บุตรของทหาร สิ่งเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดความเทิดทูนและความจงรักภักดีแก่เหล่าทหารเป็นอย่างยิ่ง

 

ซึ่งการรับราชการของพระองค์ท่านมีดังนี้

ทรงเข้าประจำการ ณ กองปฏิบัติการทางอากาศพิเศษ เมืองเพิร์ท รัฐออสเตรเลียตะวันตก ประเทศออสเตรเลีย

 

ทรงเข้าร่วมปฏิบัติการรบในการต่อต้านการก่อการร้าย บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งการคุ้มกันพื้นที่บริเวณ รอบค่ายผู้อพยพชาวกัมพูชา ณ เขาล้าน จังหวัดตราด

9 ธันวาคม พ.ศ. 2518 ทรงเข้ารับราชการเป็นนายทหารประจำกรมข่าวทหารบกกระทรวงกลาโหม

 

 6 ตุลาคม พ.ศ. 2521 ทรงดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับกองพันทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์

28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2523 ทรงดำรงตำแหน่งผู้บังคับกองพัน ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์

 

13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2527 ทรงดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับการ กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์

 

30 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการ ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์

 

9 มกราคม พ.ศ. 2535 ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ สำนักผู้บัญชาการทหารสูงสุด

พระราชกรณียกิจทางด้านการทหารครั้งสำคัญที่ทำให้ปวงชนชาวไทยจดจำได้ไม่ลืมเลือน คือการที่พระองค์เสด็จฯเยี่ยม ทหาร ตำรวจ และอาสาสมัคร ที่ปฏิบัติหน้าที่ป้องกันชายแดน คุ้มครองบ้านหมากแข้ง ตำบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เมื่อวันที่ 5 - 6 พฤศจิกายน 2519 ซึ่งบ้านหมากแข้งเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้วนั้น เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่สีแดงอีกจุดหนึ่ง เนื่องจากมีการปะทะกันอย่างหนัก

 

พระองค์ได้เสด็จฯ นำกำลังทหารออกปฏิบัติการ ทรงเข้าร่วมปฏิบัติการรบในการต่อต้านการก่อการร้ายในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และประทับแรมที่ฐานปฏิบัติการของทหาร จากนั้นในรุ่งเช้าได้เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรที่บ้านเรือนเสียหายจากการต่อสู้ พร้อมทั้งได้รับสั่งให้มีการซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพดีด้วย สร้างความปีติยินดีแก่ราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง ตลอดจนสร้างขวัญกำลังใจแก่ราษฎรชาวบ้านหมากแข้ง ทหารหาญ ให้มีใจฮึกเหิมต่อสู้ภัยก่อการร้ายดังกล่าวเป็นอย่างมาก

 

นอกเหนือจากความกล้าหาญของพระองค์แล้ว ในพระราชกรณียกิจครั้งนั้น ยังปรากฏภาพในขณะที่พระองค์ทรงพักผ่อนและเสวยพระกระยาหารอย่างเรียบง่าย โดยมีเพียงช้อนสังกะสี 1 คัน จานสังกะสีเพียง 1 จานเท่านั้น และเสวยเคียงข้างเหล่าทหารชั้นผู้น้อย อย่างไม่ถือพระองค์แม้แต่นิดเดียว

 

แม้จะเป็นพระราชภารกิจที่ต้องทรงเสี่ยงภยันตราย แต่ด้วยความที่ทรงเป็นชาติชายทหาร และเป็นพระราชภารกิจเพื่อความผาสุกของพสกนิกร และเพื่อมนุษยธรรมต่อผู้ประสบทุกข์ยาก จึงทรงปฏิบัติพระราชภารกิจดังกล่าวโดยเต็มพระราชกำลัง

 

 

เรียบเรียงโดย ชนุตรา และทีมสำนักข่าวทีนิวส์