- 10 ม.ค. 2560
เขี้ยวเล็บทัพเรือไทย!!!ทำความรู้จัก"ร.ล.อ่างทอง" ฐานปฏิบัติการลอยน้ำกับภารกิจช่วยพี่น้องชาวใต้พ้นทุกข์น้ำท่วม
จากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ครั้งล่าสุด นับว่าเป็นภัยธรรมชาติที่รุนแรงหนักหนาสาหัสที่สุดในรอบ 10 ปี ส่งผลให้ประชาชนได้รับคยามเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ดังนั้นทั้งภาครัฐ และ เอกชน ต่างระดมสรรพกำลังเข้าให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่
กองทัพเรือ ได้มอบหมายให้ นาวาโทคชพล งามชาลี ผู้บังคับการเรือหลวงอ่างทอง จัดเตรียมเฮลิคอปเตอร์ แบบซุปเปอร์ลิงซ์ กำลังพล ยุทโธปกรณ์ ออกไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในอ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช
โดยมีกำลังพลทหารจากหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานรักษาฝั่ง และเจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ทำอาหาร รวมถึงชุดช่างอากาศยานและชุดปฏิบ้ติการพิเศษ มนุษย์กบ จำนวน 2 ชุด เข้าร่วมสมทบ และจะใช้เรือหลวงเป็นฐานปฏิบัติการ รวมถึงโรงพยาบาลสนาม ครัวสนามในการปรุงอาหารจากครัวบนเรือ ซึ่งสามารถประกอบอาหารปรุงสุกและนำไปแจกถึงมือประชาชนได้ ซึ่งเรือหลวงอ่างทองจะปฏิบัติหน้าที่จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
นอกจากนี้ ยังได้ลำเลียงเรือผลักดันน้ำ 20 เครื่อง เพื่อนำไปติดตั้งและช่วยผลักดันน้ำลงสู่ทะเล ซึ่่งหลังติดตั้งเรือผลักดันน้ำและเดินเครื่อง ส่งผลให้ระดับในอำเภอชะอวด จ.นครศรีธรรมชาติ ลดลงอย่างรวดเร็ว จนหลายพื้นที่กลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็ว
วันนี้ เราจะมาทำความรู้จัก "เรือหลวงอ่างทอง" ที่กองทัพเรือ นำมาปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชน แต่ในเวลาปกติ "เรือหลวงอ่างทอง" มีภารกิจอะไรบ้าง
เรือหลวงอ่างทอง หมายเลข 791 (ลำที่ 3) เป็นเรือยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ประเภท LPD ในชั้น Endurance ซึ่งออกแบบและผลิตโดยบริษัท Singapore Technology Marine หรือ ST Marine ซึ่งทางกองทัพเรือสิงค์โปร์ได้มีโครงการจัดหาเพื่อทดแทนเรือยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ (LST) รุ่นเก่าๆที่ได้มาจากอเมริกา
ร.ล.อ่างทอง มีระวางขับน้ำปกติ 7,600 ตัน มีความยาว 141 เมตร กว้าง 21 เมตร กินน้ำลึก 4.6 เมตร มีความสูงถึง 9 ชั้น ถ้าเทียบขนาดความใหญ่โตของ ร.ล.อ่างทอง มีความใหญ่เป็นอันดับสามรองจาก ร.ล สิมิลัน และ ร.ล จักรีนฤเบศร
ในส่วนระบบขับเคลื่อน ใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่ ให้กำลังขับ 4,060 กิโลวัตต์จำนวน 2 เครื่อง และมีเครื่องขับกำเนิดไฟฟ้าดีเซล จำนวน 4 เครื่องเพื่อช่วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ให้กำลังขับไฟฟ้าได้ 900 กิโลวัตต์อีก 4 เครื่อง สามารถทำความเร็วสูงสุดมากกว่า 17 น๊อต และมีระยะปฏิบัติการที่ความเร็ว 12 น๊อต มากกว่า 5,000 ไมล์ทะเล สามารถปฏิบัติการในทะเลต่อเนื่องได้ไม่น้อยกว่า 45 วัน โดยไม่ต้องรับการส่งกำลังบำรุงเพิ่มเติม และมีเพลาใบจักร 2 เพลาแบบปรับมุมได้ นอกจากนี้ยังมีเครื่องผลักดันหัวเรือ
ร.ล อ่างทองถูกออกแบบมาให้มีความคงทนทะเลในระดับ Sea State 6 ซึ่งสามารถทนระดับความสูงของคลื่นได้ประมาณ 4-6 เมตร(มีตั้งแต่ Sea State 0-9)
ในส่วนกำลังพลประจำเรือ มีจำนวน 151 นาย ประกอบด้วย นายทหารสัญญาบัตร 19 นาย คือ นาวาโท 1 นาย(ผู้บังคับการเรือ) นาวาตรี 6 นาย และเรือเอก 12 นาย ,นายทหารชั้นประทวน 98 นาย คือพันจ่าเอก (พิเศษ) 3 นาย พันจ่าเอก 23 นาย จ่าเอก 72 นาย และพลทหารอีก 34 นาย ร.ล อ่างทองมี นาวาโท ธีรสาร คงมั่น เป็นผู้บังคับการเรือหลวงอ่างทอง คนแรก เรือหลวงอ่างทองเข้าประจำการที่กองเรือยกพลขึ้นบกและยุทธบริการ กองเรือยุทธการ
สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกภายในเรือจะมี ห้องพักสำหรับนายทหารและนายทหารชั้นประทวนรวมถึงลูกเรือที่สะดวกสบาย ห้องน้ำห้องอาบน้ำมาตรฐานเหมือนเรือรุ่นใหม่ๆ มีห้องอเนกประสงค์ขนาดใหญ่สำหรับรับประทานอาหารและพักผ่อน รวมถึงใช้ประชุมได้อีกด้วย ,มีห้องตรวจโรค,ห้องผ่าตัดขนาดย่อม,ห้องทันตกรรม ,ห้องพักผู้ป่วย สำหรับช่วงต้องออกปฏิบัติภารกิจก็จะมีหมอและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ขึ้นเรือไปด้วยตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย นอกจากนี้ยังมีที่พักพร้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกในการรองรับกำลังทหารราบหรือนาวิกโยธินสำหรับยกพลขึ้นบกจำนวน 350-500 นาย รวมถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายอำนวยการ 15 นาย และกำลังพลจากหน่วยบินทั้งนักบิน,ช่างเครื่องได้อีก 15 นาย ซึ่งทั้งหมดสามารถรองรับและสามารถใช้งานเมื่อต้องออกปฏิบัติภารกิจเป็นระยะเวลานานๆ
สำหรับศักยภาพและขีดความสามารถของ ร.ล อ่างทอง ซึ่งเป็นเรือยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ประเภทเรือ LPD ซึ่งเรือประเภทนี้มีจุดเด่นก็คือ ในส่วนอู่ลอย นั้นก็คือพื้นที่ที่สามารถรับ-ปล่อยเรือระบายพลขนาดต่างๆหรือยานรบสะเทินน้ำสะเทินบก แบบ AAVS เข้าออกโดยมี Stern Ramp หรือแลมป์ท้ายเรือสำหรับเปิด–ปิดในการรับ-ปล่อยเรือระบายพลหรือยานรบสะเทินน้ำสะเทินบกไม่ว่าในขณะเรือแล่นอยู่หรือจอด Stern Ramp จะมีความกว้าง 15.6 เมตร สูง 8 เมตร และถ้ายื่นเปิดออกจะยาว 7 เมตร เมื่อเปิดออกสามารถรับน้ำหนักได้ถึง 66 ตันและสามารถเชื่อมต่อกับเรือระบายพลขนาดใหญ่สามารถมีการขนถ่ายหรือลำเลียงระหว่างเรือกับเรือในทะเลได้ด้วย
ในส่วนอู่ลอย จะมีพื้นที่ใหญ่โตมากๆกินพื้นที่เกือบสุดความกว้างและความยาวของเรือ จะมีพื้นที่ที่เรียกว่าดาดฟ้าอู่ลอยสำหรับจอดใช้ยานพาหนะต่างๆทั้ง ยาน AAVS,รถถัง,รถบรรทุกทางทหารและอื่นๆ หรือจอดเรือระบายพลขนาดต่างๆได้ และยังมีประตูข้างเรือ สำหรับขนถ่ายยานพาหนะจากด้านข้างของเรือในขณะเทียบท่าได้อีกด้วย ซึ่งจะมีอยู่บริเวณกราบเรือด้านขวาเมื่อใช้งานจะเปิดออกรับสิ่งของหรือยานยนต์ต่างๆ ซึ่งจุดนี้เองจะมีจานกลับรถ สำหรับเมื่อนำยานพาหนะเข้ามาโดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลากลับรถให้ยุ่งยากและเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายได้เหมือนตอนไปดูงานมอเตอร์โชว์เจ๋งมั๊ยละครับ
ในบริเวณนี้ยังมีลิฟท์ขนาดใหญ่ติดตั้งภายในใช้งานเรือระหว่างดาดฟ้าอู่ลอยกับดาดฟ้าโรงเก็บอากาศยาน สำหรับลำเลียงของขึ้นลงในสองพื้นที่นี้ ลิฟท์ตัวนี้มีความกว้างถึง 6 เมตรและยาว 18 เมตร สามารถรับน้ำหนักได้ถึง 22 ตัน
ถัดจากพื้นที่ดาดฟ้าอู่ลอยจะมาพื้นที่ที่เรียกว่า Beach Ramp เป็นพื้นที่สำหรับขนถ่ายกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียงลงยาน AAVS หรือเรือระบายพล ซึ่งจะเชื่อมกับพื้นที่ส่วนท้ายเรือ ซึ่งสามารถสูบน้ำเข้ามาในเรือให้พื้นที่นี้จมน้ำได้สูงถึง 1.50 เมตร(หรืออาจมากกว่านี้ได้นิดหน่อย)และแลมป์ท้ายเรือเปิด–ปิด เพื่อให้ยาน AAVS หรือเรือระบายพลเข้ามาในเรือได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องคลื่นสูงลมแรงและไม่จำเป็นต้องจอดเรือ ร.ล อ่างทอง สามารถเคลื่อนที่ได้โดยไม่ต้องหยุด ที่สำคัญคือรวดเร็วและปลอดภัยกว่า ซึ่งดีกว่าให้ ยาน AAVS หรือเรือระบายพลไปจอดเทียบข้างเรือถ้าเกิดกรณีคลื่นสูงลมแรงก็อาจเป็นอันตรายได้ เมื่อเสร็จภารกิจแล้วเรือก็สามารถสูบน้ำออกจนแห้งสนิทได้
สำหรับส่วนดาดฟ้าเรือ นอกจากจะมี Island ซึ่งมีในส่วนห้องบังคับการเรือ,ห้องยุทธการและห้องต่างๆแล้วยังมีในส่วนโรงเก็บอากาศยาน ซึ่งสามารถรองรับ เฮลิคอปเตอร์แบบ S70 B Seahawk จำนวน 2 เครื่อง หรือ เฮลิคอปเตอร์แบบ MH 60H Knighthawk อีก 2 เครื่อง (เป็นฮ.รุ่นใหม่ที่เข้าประจำการ) สำหรับดาดฟ้าบินหรือลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ที่อยู่บริเวณท้ายเรือจะมีลานจอดได้ถึง 2 ลานซึ่งสามารถรับ-ส่ง เฮลิคอปเตอร์แบบ 2 เครื่องได้พร้อมๆกัน และยังสามารถให้เฮลิคอปเตอร์ขนาดใหญ่เจ้าช้างบิน CH–47 Chinook จำนวน 1 เครื่องลงจอดได้สบายๆ
นอกจากนี้บริเวณดาดฟ้าบินสามารถบรรทุกหรือลำเลียง รถถังแบบ M60 จำนวน 15 คัน หรือยานรบสะเทินน้ำสะเทินบก แบบ AAVS จำนวน 19 คัน หรือยานยนต์ทางทหารได้ถึง 30 คัน เรียกว่าบรรทุกได้เต็มพิกัดสุดๆเลยครับ สำหรับบริเวณดาดฟ้าเรือนี้จะมีเครนขนาด 20 ตันและ 10 ตัน อยู่ด้านข้างทั้งซ้ายและขวาของโรงเก็บอากาศยานสำหรับช่วยยกสิ่งของต่างๆได้อีกด้วย แบบว่าจะขนอะไรใส่เรือลำนี้มีหมดทั้ง เครนขนาดใหญ่,แลมป์ข้างเรือ , แลมป์ท้ายเรือ สมกับแนวคิดในการตั้งชื่อเรือ LPD ประเภทนี้ เพราะ Endurance มีความหมายว่า ความทนทาน นั่นเอง
ร.ล อ่างทอง ยังมีเรือระบายพลประจำเรือคือ เรือระบายพลขนาดเล็ก ยาว 13 เมตร น้ำหนักบรรทุกไม่น้อยกว่า 3.6 ตัน หรือบรรทุกได้ 36 คน ทำความเร็วสูงสุด มากกว่า 15 นอต จำนวน 2 ลำซึ่งติดตั้งอยู่บริเวณบนหลักเดวิทกราบซ้ายและขวาของเรือข้างละ 1 ลำ นอกจากนี้ยังได้จัดหา เรือระบายพลขนาดกลาง ยาว 23 เมตร น้ำหนักบรรทุกไม่น้อยกว่า 18 ตัน ความเร็วสูงสุดมากกว่า 12 นอต จำนวน 2 ลำ ไว้ประจำเรือด้วย
สำหรับในส่วนระบบตรวจจับและระบบเดินเรือจะประกอบด้วย
เรดาห์ตรวจการณ์ทางอากาศแบบ Terma SCANTER 4100 จากประเทศเดนมาร์ก ซึ่งเป็นเรดาห์ค้นหาภาคอากาศและผิวน้ำแบบ 2 มิติ สามารถตรวจจับเป้าหมายได้ในระยะ 90 ไมล์ทะเล (ประมาณ 160 กิโลเมตร) ตรวจจับและติดตามเป้าหมายผิวน้ำได้ 500 เป้าหมายและตรวจจับเป้าหมายทางอากาศได้ถึง 100 เป้าหมาย ที่สำคัญยังสามารถตรวจจับขีปนาวุธที่วิ่งเข้าหาเรือแถมสามารถใช้ควบคุมอากาศยานไร้คนขับได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีระบบพิสูจน์ฝ่ายและสนับสนุนข้อมูลเป้าหมาย เชื่อมโยงใช้งานร่วมกับระบบอาวุธของเรือได้ ซึ่งติดตั้งอยู่ในตัวของเรดาห์แบบนี้ด้วยนะครับ
เรดาห์เดินเรือแบบ Raytheon Anschutz NSC-25 (Seascout) เป็นเรดาห์เดินเรือที่มีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมแบบหนึ่งสะดวกสำหรับการใช้งานและติดตั้งง่าย NSC ระบบของเรดาร์มีประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมและความน่าเชื่อถือสูงช่วยให้ผู้ใช้ทำงานได้ดีง่ายขึ้น และมีสมาธิในการทำงานเดินเรือสำหรับการหลีกเลี่ยงการชนกันและความปลอดภัยสูงสุดในทะเล ระบบสามารถเชื่อมโยงได้ง่ายเพื่อแสดงเป้าหมาย AIS และข้อมูลเพิ่มเติมเป้าหมาย, ECDIS / GPS ที่สามารถที่จะสะดวกต่อการเข้าถึงข้อมูลเรดาร์ทั้งหมด นอกจาก NSC เรดาร์ NSC chartradar ที่มีการจัดข้อมูล ECDIS ให้มีประสิทธิภาพจับเป้าหมายได้ถึง 70 เป้าหมาย มีซอฟท์แวร์ปรับปรุงได้อย่างรวดเร็วและง่ายๆ ซึ่งเรดาห์แบบนี้มีใช้งานในเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชุด ร.ล ปัตตานี แต่เป็นคนละรุ่นกัน
ระบบอำนวยการรบ Terma C-Flex จากประเทศเดนมาร์ก เป็นระบบที่ช่วยให้ผู้บังคับการเรือ สามารถรับรู้ข้อมูลและตัดสินใจดำเนินการปฏิบัติการได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ โดยระบบนี้จะทำหน้าที่จัดการข้อมูลที่เชื่อมโยง มาจากระบบเรดาห์และระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับต่างๆ แล้วจะประมวลผลการตรวจจับและประเมินภัยที่จะคุกคามว่าควรจะต้องทำอย่างไร เพื่อจะได้ประเมินสถานการณ์และตอบสนองกลับให้ถูกต้อง นี้ ระบบนอกจาก C-Flex ยังสามารถทำงานร่วมกับระบบเครือข่ายในการส่งข้อมูลทางยุทธวิธี ของ Terma เองหรือจะเป็นระบบ C-Link หรือ Datalink ในระบบอื่นๆที่กองทัพเรือมีใช้งาน นอกจากนี้ระบบ C-Series ยังมีระบบ C-Raid ซึ่งเป็นระบบควบคุมการสั่งการ(Command and Control) สำหรับเรือขนาดเล็กที่สามารถส่งข้อมูลจากเรือแม่ผ่าน Datalink และสนับสนุนการปฎิบัติการของเรือจู่โจม เพื่อให้รับรู้สถานการณ์ในสมรภูมิรอบๆตัวได้ด้วย
ระบบควบคุมการยิง Terma C–Fire EO จากประเทศอังกฤษ จะทำหน้าที่ควบคุมการยิงปืน76/62 OTO Super Rapid และปืนกล 30 MM (SEA HAWK MSI-DS30M R) ที่ติดตั้งบน ร.ล อ่างทอง ซึ่งสามารถทำงานได้ทั้งกลางวันโดยใช้กล้องทีวีและช่วงกลางคืนใช้ระบบอินฟาเรด ซึ่งระบบนี้ยังสามารถใช้เฝ้าตรวจการณ์รอบตัวเรือได้อีกด้วย ระบบควบคุมการยิง Terma C–Fire EO จะถูกควบคุมโดยสถานีควบคุมของ C-Flex ที่ติดตั้งอยู่ในห้องศูนย์ยุทธการของ ร.ล อ่างทอง ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ทางกองทัพเรือได้เลือกระบบ Terma เข้ามาติดตั้งบน ร.ล อ่างทอง นอกจากนี้ยังมีระบบรวมการควบคุมการเดินเรือ(IBS)ซึ่งใช้ของ Raytheon Anschutz NSC-Series ,ระบบรวมการคุมการสื่อสาร(ICS),ระบบรวมการควบคุมเครื่องจักร(IPMS)
ในส่วนระบบป้องกันตัวเองหรืออาวุธประจำเรือ นั้น ร.ล อ่างทอง จะไม่เหมือนเรือในชั้น Endurance ซะทั้งหมด ซึ่งอาจเป็นเพราะทางกองทัพเรือเห็นตามความเหมาะสมและงบประมาณ ประกอบด้วย
ปืน 76/62 OTO Super Rapid จำนวน 1 กระบอก เป็นปืนเรือมาตรฐานสากลที่เรือฟริเกตและเรือคอร์เวทใช้อยู่ อีกทั้งเป็นรุ่นที่ปรับปรุงใหม่แล้วทั้งประสิทธิภาพการใช้และอำนาจการยิง
ปืนกล 30 MM (SEA HAWK MSI-DS30M R) จำนวน 2 กระบอก ในช่วงหลังๆมานี้กองทัพเรือนิยมใช้ปืนกลรุ่นนี้ประจำเรือรุ่นใหม่ไม่ว่าจะเป็นเรือล่าทำลายทุ่นระเบิด,เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งและอีกหลายลำซึ่งปืนกลรุ่นนี้สามารถยิงสกัดกั้นทั้งเรือและอากาศยานรวมถึงอาวุธนำวิถีได้ด้วย
ปืนกล U.S Ordnance M2HB ขนาด 12.7 mm.จำนวน 6 กระบอก ซึ่งเป็นปืนกลประจำเรือทั่วไป สำหรับยิงเป้าหมายทั้งผิวน้ำและอากาศยาน
ร.ล อ่างทอง มีภารกิจหลัก ในการสนับสนุนการยกพลขึ้นบกให้กับกำลังนาวิกโยธินในการเคลื่อนกำลังพลจากทะเลสู่ฝั่ง (โจมตีโฉบฉวย สะเทินน้ำสะเทินบก) การขนส่งลำเลียงทางทะเล รวมไปถึงการลำเลียงขนส่งทางอากาศด้วยอากาศยาน เพราะเรือลำนี้สามารถเป็นฐานบินลอยน้ำชั่วคราวได้ อีกทั้งยังเป็นเรือบัญชาการฐานปฏิบัติการในทะเล รวมถึงภารกิจการสนับสนุนการฝึกต่าง ๆ รวมทั้งการลำเลียงระยะไกล ซึ่งจะทำให้กองทัพเรือมีเรือรบที่สามารถปฏิบัติภารกิจได้หลากหลายและมีความอ่อนตัวสูงอันจะเป็นกำลังสำคัญในการป้องกันประเทศ
สำหรับภารกิจในยามปกติ ก็สามารถใช้ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ การส่งอาหารและยาเวชภัณฑ์ทางอากาศ รวมถึงการช่วยเหลืออพยพประชาชนออกจากพื้นที่ภัยพิบัติจากฝั่งเข้ามาสู่อู่ลอยของเรือได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงที ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการเป็นทั้งฐานลอยน้ำและฐานบินเคลื่อนที่สำหรับรับ-ส่ง ผู้ประสบภัยกลางทะเล รวมไปถึงเป็นโรงพยาบาลเคลื่อนที่สำหรับการปฐมพยาบาล และใช้ในการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยหนักได้เป็นอย่างดี จึงมีความจำเป็นที่ต้องการเรือขนาดใหญ่มาเสริมภารกิจดังกล่าวและเพื่อเป็นการแบ่งเบาภารกิจให้กับเรือหลวงจักรีนฤเบศรได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งปัจจุบันและในอนาคตภัยธรรมชาติต่างๆนับวันจะมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น กองทัพเรือจึงถือได้ว่า ร.ลอ่างทอง จะเป็นเรือที่มีบทบาทสำคัญทั้งยามปกติและภาวะสงครามได้เป็นอย่างดี
เรียบเรียงโดย นาตยา เอนกธนะเศรษฐ์ สำนักข่าวทีนิวส์
ขอบคุณข้อมูลและภาพ http://www.pantown.com/boarthaidefense-news. ,thaiarmedforce, thaifighterclub.,
Wikipedia และ navy.mi.th/amphibious ,เพจเฟซบุ๊ก "เรารัก ร.ล.อ่างทอง"






