หลักฐานความฉาวโฉ่ข้ามชาติ !!! เปิดเสป็กเครื่องบิน "การบินไทย-โรลส์รอยซ์" ...เห็นแล้วน็อค ราคาพุ่งหลักร้อยล้าน ดอลลาห์สหรัฐ  (รายละเอียด)

หลักฐานความฉาวโฉ่ข้ามชาติ !!! เปิดเสป็กเครื่องบิน "การบินไทย-โรลส์รอยซ์" ...เห็นแล้วน็อค ราคาพุ่งหลักร้อยล้าน ดอลลาห์สหรัฐ (รายละเอียด)

จากเหตุการณ์อื้อฉาวในกรณีการรับสินบนกันเพื่อจัดซื้อเครื่องยนต์ระหว่างบมจ.การบินไทย และ บริษัทโรลส์-รอยซ์ และเมื่อบ.โรลส์-รอยซ์ สารภาพต่อสำนักงานปราบปรามการทุจริตของประเทศอังกฤษว่าได้จ่ายเงินสินบนในการจัดหาเครื่องยนต์เครื่องบินให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ และพนักงานของบ.การบินไทย จำกัด มหาชน ระหว่างปี พ.ศ. 2534 –2548 ทำให้เกิดเป็นประเด็นการธุจริตทางธุรกิจระหว่างประเทศแล้วยังถูกโยงเอาเรื่องทางการเมืองมาเกี่ยวข้อง และยังสาวไปถึงการธุจริตในเรื่องอื่นๆของทางบมจ.การบินไทยด้วย

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม : ประเทศชาติพัง !!! สินบน "โรลส์รอยซ์" ใบเสร็จการคอร์รัปชั่นใน "การบินไทย-ปตท."

หลักฐานความฉาวโฉ่ข้ามชาติ !!! เปิดเสป็กเครื่องบิน "การบินไทย-โรลส์รอยซ์" ...เห็นแล้วน็อค ราคาพุ่งหลักร้อยล้าน ดอลลาห์สหรัฐ  (รายละเอียด)

สืบเนื่องจากเหตุการณ์นี้ เมื่อวันที่24 มกราคม 2560 คุณเปลว สีเงิน ก็ได้ออกมาพูดถึงเรื่องสินบนในมุมที่เขาไม่พูดกัน โดยมีเนื้อหาบางช่วงกล่าวถึงเรื่องสินบนโรลส์-รอยซ์ ว่า  เรื่องสินบนโรลส์-รอยซ์ครั้งที่ ๓ ปี ๔๗-๔๘ ผมยังจำได้คร่าวๆ เตรียมซื้อกันตั้งแต่ปี ๔๖ มาปี ๔๗-๔๘ ถึงลงตัว ซื้อเครื่องบิน A340-500 และ A340-600 ใช้บินพิสัยไกลพิเศษ กรุงเทพฯ-นิวยอร์ก, กรุงเทพฯ-ลอสแองเจลิส ขนาดไปเช่าตึกที่นิวยอร์ก เปิด "ไทยแลนด์ พลาซา" ฝันเฟื่อง ใช้เครื่องบิน "บินรวดเดียวเจ๊ง" นี่แหละ ขนทั้งคน-ทั้งสินค้าโอทอป ทำให้ไทยรวยกันไม่รู้จบ แต่วันนี้ ขอจบก่อน ถ้าใครอยากรู้เรื่อง "ไทยแลนด์ พลาซา" ไปกระซิบถามท่านรองนายกฯ สมคิดเอาก็ได้ เพราะทักษิณโยกไปเป็น "รัฐมนตรีพาณิชย์" แล้วให้ "นายทนง พิทยะ" เป็นรัฐมนตรีคลังแทน ตอนปี ๔๘ นั้น.

และหลังจากนั้นวันที่ 25 มกราคม 2560 ได้มีการเผยแพร่ภาพผ่านสื่อโซเชียล โดยในภาพเป็นภาพเครื่องบินของการบินไทยที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย โดยจอดทิ้งไว้เฉยๆ ที่สนามบินอู่ตะเภา

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม : ฟ้องด้วยภาพ !!! การบินไทยจอดเครื่องบินทิ้งไว้ 9 ลำ ที่สนามบินอู่ตะเภา โดยที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย !!!

ในวันเดียวกันหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ในเครือสปริงกรุ๊ปสรุป ถึงเรื่องฉาวโฉ่ข้ามชาติของการบินไทย ซึ่งระบุว่ายังมีซากเครื่องบิน แอร์บัส เอ 340-500 จำนวน 3 ลำ ที่จอดนิ่งสนิท อยู่ที่สนามบินอู่ตะเภา เป็นหลักฐานของความล้มเหลวและความไม่โปร่งใสของการบริหารจัดการในอดีตที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี แม้ว่าก่อนหน้านั้นทางกองทัพอากาศ ช่วยซื้อไปแล้ว 1 ลำ จากทั้งหมด 4 ลำ แต่ยังเหลืออีก 3 ลำซึ่งยังไม่มีท่าทีว่าจะขายได้

โดยต้นเหตุเกิดจากการวางแผนที่ผิดพลาดซื้อเครื่องบินพิสัยไกล และใช้เชื้อเพลิงมาก เพื่อมาให้บริการในเส้นทางบินตรง กรุงเทพฯ-นิวยอร์ก จะด้วยตั้งใจหรือรู้อยู่แก่ใจ แต่หลังจากเปิดบริการได้เพียง 3 ปี ตัวเลขการขาดทุนเส้นทางนี้ก็ทะลุไปถึง 7,000 ล้านบาท กระทั่งบอร์ดต้องยกเลิก เส้นทางบินดังกล่าวไปเมื่อปี 2551  ตอกยํ้าถึงขบวนการคอร์รัปชันครั้งใหญ่ ในสายการบินแห่งชาติ และกลายเป็นต้นทุนระยะยาวในการบริหารจัดการและเป็นสาเหตุหลักทำให้การบินไทยขาดทุนอย่างทุกวันนี้

หลักฐานความฉาวโฉ่ข้ามชาติ !!! เปิดเสป็กเครื่องบิน "การบินไทย-โรลส์รอยซ์" ...เห็นแล้วน็อค ราคาพุ่งหลักร้อยล้าน ดอลลาห์สหรัฐ  (รายละเอียด)

นอกจากนี้แหล่งข่าวระดับสูงจาก บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การจ่ายค่านายหน้าเพื่อผลักดันให้การบินไทยซื้อเครื่องยนต์เทรนท์ 500 เป็นส่วนหนึ่งของแผนการจัดหาเครื่องบินแอร์บัส เอ 340-500 จำนวน 4 ลำ และแอร์บัสเอ 340-600 จำนวน 6 ลำ ในช่วงรัฐบาลไทยรักไทยทักษิณ 1 เมื่อปี 2546 ซึ่งอยู่ในแผนจัดหาเครื่องบินปี 2545-2547 จำนวน 39 ลำ มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ทั้งนี้เครื่องบินแอร์บัสเอ 340-500 ซึ่งเป็นการสั่งซื้อเครื่องบินพิสัยไกลพิเศษ สำหรับทำการบินข้ามทวีปแบบไม่ต้องแวะพัก (Ultra Long Range) ระยะเวลาบิน 18 ชั่วโมง เพื่อมาทำการบินตรงในเส้นทางกรุงเทพฯ-นิวยอร์ก เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2548 และทำการบินในเส้นทางกรุงเทพฯ-ลอสแองเจลีส เมื่อวันที่ 1 ธันวาคมปีเดียวกัน แต่หลังจากเปิดบริการได้ไม่นานก็ต้องหยุดบินตรงกรุงเทพฯ-ลอสแองเจลีส ในวันที่ 29 เมษายน 2555 และเปลี่ยนมาใช้เครื่องบินโบอิ้ง 777-200 ER แทน โดยปรับเส้นทางบินใหม่เป็นกรุงเทพฯ-โซล-ลอสแองเจลีส เช่นเดียวกับการใช้แอร์บัสเอ 340-500 บินในเส้นทางกรุงเทพฯ-โตเกียว (ฮาเนดะ) ก็ได้ถูกเปลี่ยนไปใช้โบอิ้ง 777-300 ER แทน

ทั้งนี้สาเหตุการขาดทุนเป็นเพราะเครื่องบินรุ่นแอร์บัสเอ 340-500นี้ ใช้เครื่องยนต์เทรนท์ 4 เครื่องยนต์ทำให้กินนํ้ามันมาก ประกอบกับในช่วงปี 2548 ราคานํ้ามันสูงเกือบ 5 เท่า มีเพียง 215 ที่นั่ง แม้จะขายเต็มลำก็ยังขาดทุน ต้องขายให้ได้ถึง 120% จึงจะคุ้มทุน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นนับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2548 จนถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2551 ร่วม 3 ปีผลประกอบการเส้นทางบินตรงกรุงเทพฯ-นิวยอร์ก ขาดทุนกว่า 7,000 ล้านบาท กระทั่งบอร์ดมีมติให้ยกเลิกเส้นทางบินดังกล่าวและประกาศขายเครื่องบินดังกล่าวทิ้งแบบขาดทุนแต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่สามารถขายเครื่องบินรุ่นเอ 340-500 และเอ 340-600 ได้ โดยมีอายุการใช้งานกว่า 11 ปี ส่งผลให้การบินไทยต้องทยอยรับรู้ผลการขาดทุนจากการด้อยค่าเครื่องบินทุกปี จนปี 2558 เครื่องบิน เอ 340-600 จำนวน 6 ลำ ได้ทำด้อยค่าในวงเงิน 1.2 หมื่นล้านบาท และงวด 9 เดือนแรกของปี 2559 มีการทำอีกกว่าพันล้าน ปัจจุบันฝูงบินเอ 340 มีมูลค่าเหลือ 4,000-5,000 ล้านบาท ซึ่งจะลดขาดทุนของบริษัทและทำให้เครื่องบินขายได้ง่ายขึ้น

แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า จนถึงวันนี้แอร์บัสเอ 340-500 และแอร์บัส เอ 340-600 ยังจอดรอคอยที่อยู่สนามบินอู่ตะเภา และจัดอยู่กลุ่มเครื่องบิน 20 ลำที่การบินไทยอยู่ระหว่างการเตรียมปลดระวาง โดยเครื่องบินรุ่นอื่นๆ ที่จอดอยู่เป็นบางรุ่นรอการส่งมอบ บางรุ่นรอเจรจา ยกเว้นแอร์บัส เอ 340 ที่ขายได้ยากมาก บางรายที่แสดงความสนใจที่จะเข้ามาซื้อก็กดราคาขายเหลือเพียง 7 แสนดอลลาร์สหรัฐฯต่อลำ บางรายให้ราคาไม่เกิน 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อลำ ซึ่งตํ่ากว่าราคาบุ๊กแวลู ที่อยู่ที่ราว 20 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อลำ ถึงทุกวันนี้ยังไม่มีท่าทีจะขายได้

อย่างไรก็ดีจากที่เครื่องบิน เอ 340 มีแนวโน้มจะขายไม่ได้ ทำให้ทางฝ่ายบริหารและบอร์ดมีการหารือถึงแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าว โดยแนวทางแรกคือการบินไทยยังคงต้องการขายเครื่องบินรุ่นนี้ออกไปจากฝูงบิน ล่าสุดได้รับการติดต่อจากบริษัทจากประเทศอิหร่าน ที่แสดงความสนใจซื้อเครื่องบินทั้ง 9 ลำที่เหลือ แต่ยังไม่ได้มีการเสนอราคาซื้อเข้ามา แนวทางที่ 2 การให้เช่า โดยก็มีบริษัทจากจีนแสดงความสนใจที่จะเช่า และแนวทางที่ 3 คือ มองที่การจะนำกลับมาบินใหม่

และเนื่องจากขณะนี้ราคานํ้ามันปรับตัวลดลงอยู่ที่ราว 50-60 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล จึงมีการศึกษาเส้นทางบินที่เหมาะสมหากการบินไทยจะนำแอร์บัส เอ 340 มาทำการบินใหม่ต้องมีการลงทุนอีกกว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงเครื่องบินให้ใช้งานได้ แยกเป็น 2 ฝูงบินคือ แอร์บัส เอ 340-500 จำนวน 3 ลำ ลงทุนอีกราว 1,000 ล้านบาท และแอร์บัส เอ 340-600 จำนวน 6 ลำ ลงทุนอีกกว่า 1,000 ล้านบาท เนื่องจากต้องเปลี่ยนเก้าอี้ใหม่ รวมถึงซ่อมบำรุงให้กลับมาบินได้

เหตุผลที่เลือกซื้อเครื่องบินแอร์บัส 340-500 กับ 340-600 เนื่องจากค่าคอมมิชชันในการจัดซื้อ 5% ขณะที่โบอิ้งจ่ายแค่ 3% จึงเป็นแรงจูงใจให้นายหน้าในการเลือก A340 จำนวน 10 ลำ มูลค่า 4.6 หมื่นล้าน โดยมีค่าคอมมิชชันในการจัดซื้อฝูงบินครั้งนี้ไม่ตํ่ากว่า 2 พันล้านบาท สุดท้ายการซื้อฝูงบินดังกล่าว กลายเป็นซากเครื่องที่ประจานความล้มเหลว จอดนิ่งอยู่ที่สนามบินอู่ตะเภาตั้งแต่ปี 2551 นับถึงปัจจุบันค่าเสื่อมพุ่งไปแตะ 6.8 พันล้านบาท เมื่อรวมกับผลการขาดทุนจากการบินตรงเส้นทางกรุงเทพ-นิวยอร์ก 3 ปีแล้วเลิก 7 พันล้านบาท แล้วส่งผลให้ยอดความเสียหายร่วม 1.4 หมื่นล้านบาท

หลักฐานความฉาวโฉ่ข้ามชาติ !!! เปิดเสป็กเครื่องบิน "การบินไทย-โรลส์รอยซ์" ...เห็นแล้วน็อค ราคาพุ่งหลักร้อยล้าน ดอลลาห์สหรัฐ  (รายละเอียด)

 

สำหรับแอร์บัสA 340  นั้นเป็นเครื่องบินพาณิชย์ลำตัวกว้าง ผลิตโดยแอร์บัส ทำให้สามารถจัดสรรที่นั่งสำหรับผู้โดยสารได้มากสูงสุดประมาณ 330 ที่ และเป็นเครื่องบินพาณิชย์ที่มีระยะทางการบินอย่างต่อเนื่องมากที่สุดในปัจจุบันคือ 15,742 กิโลเมตร ทั้งนี้ระยะทางการบินต่อเนื่องสูงสุดขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น จำนวนนำหนักที่บรรทุก อัตราความเร็ว และรุ่นของ A340 ที่มีอยู่ 6 รุ่นคือ 200/300/300E/500/600 และ 8000 ลักษณะทั่วไปของ A340 จะคล้ายคลึงกับ A330 ซึ่งเริ่มใช้ในปี 1987 และ A340 เริ่มปฏิบัติการบินครั้งแรกในปี 1991 และเริ่มใช้เชิงพาณิชย์ในปี 1993

แอร์บัส A340 เป็นเครื่องบินที่มีชั้นโดยสาร 1 ชั้น มีเครื่องยนต์ 4 เครื่องยนต์อยู่ที่ปีกทั้งสองข้าง ข้างละ 2 เครื่องยนต์ ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการบินสูงขึ้น เนื่องจากเครื่องยนต์ 4 เครื่องสามารถให้เครื่องบินบินขึ้นได้ โดยใช้พลังงานน้อยกว่าเครื่องบินแบบที่มีเครื่องยนต์เพียงสองเครื่อง เช่น เปิดตัวครั้งแรกในปี 2545 มูลค่าลำละ 275 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การบินไทยก็ซื้อมา ในราคาเฉลี่ยราว 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อลำ ปี 2552 มูลค่าลดลงเหลือ 153 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯปัจจุบันมูลค่าของเครื่อง เอ 340 อยู่ที่ไม่ถึง 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อเครื่อง

ส่วนเครื่องบิน Boeing 777 จะเป็นอากาศยานแบบลำตัวกว้าง ใช้เครื่องยนต์ 2 ตัว มีพิสัยบินระยะไกล ผลิตโดยฝ่ายผลิตเครื่องบินพาณิชย์โบอิง ซึ่งถือได้ว่าเป็นเครื่องบินเชิงพาณิชย์ลำแรกที่มีการออกแบบและพัฒนาบนคอมพิวเตอร์ทุกขั้นตอน โดยโปรแกรมเขียนภาพสามมิติ CATIA[3] และมีสายการบินขนาดใหญ่อย่างยูไนเต็ดแอร์ไลน์, อเมริกันแอร์ไลน์, เดลต้า แอร์ไลน์, ออลนิปปอนแอร์เวย์, บริติช แอร์เวย์, เจแปนแอร์ไลน์, แควนตัส และคาเธย์แปซิฟิก มีส่วนร่วมในการพัฒนาเครื่องบินรุ่นนี้ ทำให้ 777 เป็นเครื่องบินที่ตรงตามความต้องการของลูกค้ามากที่สุด[4] ทั้งนี้นับจนถึงพฤษภาคม พ.ศ. 2550 มีเพียงแควนตัสเพียงสายการบินเดียวที่มีส่วนร่วมในการออกแบบ แต่ยังไม่เคยสั่งซื้อเครื่อง 777 เลย

หลักฐานความฉาวโฉ่ข้ามชาติ !!! เปิดเสป็กเครื่องบิน "การบินไทย-โรลส์รอยซ์" ...เห็นแล้วน็อค ราคาพุ่งหลักร้อยล้าน ดอลลาห์สหรัฐ  (รายละเอียด)

เครื่องบินแบบ Boeing 777-300ER นั้นสามารถทำระยะการบินได้ไกลมากกว่ารุ่น 777-300 แบบเดิมถึงกว่า 34 เปอร์เซ็นต์ในน้ำหนักบรรทุกที่เท่าเทียมกัน และยังสามารถลดปริมาณการใช้เชื้อเพลิงได้มากกว่า 1.4 เปอรเซ็นต์อีกด้วย จุดสังเกตง่ายๆ ว่าเครื่องบินลำไหนเป็นแบบ 777-300 ธรรมดาหรือ 777-300ER นั้นให้สังเกตที่ Wingtips ปลายปีกที่มีเฉพาะรุ่น 300ER

โบอิง 777 สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 301 - 368 คน ในการจัดที่นั่งแบบสามชั้นบิน และมีพิสัยบิน 9,650 ถึง 17,450 กิโลเมตร (5,210 ถึง 9,420 ไมล์ทะเล) ซึ่งได้รับการบันทึกว่าเป็นเครื่องบินโดยสารที่มีพิสัยบินไกลที่สุดในโลก (รุ่น 200LR)

คู่แข่งสำคัญของโบอิง 777 ก็คือ แอร์บัส A 330-300, แอร์บัส A 340 และบางรุ่นของแอร์บัส A350 XWB ทั้งนี้คาดการณ์ว่ารุ่น 777 (และ 747) อาจจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องบินตระกูลใหม่ Y3 โดยมีเทคโนโลยีเช่นเดียวกับ 787

 

เรียบเรียงโดย สินีนุช ทีนิวส์