- 24 ก.พ. 2560
อ่านแล้วปวดหัว !?!? ใครรู้ช่วยบอกด้วย "ตำราสุขศึกษา " ... สอนช่วยชีวิต งง กันใหญ่อันไหนคือสิ่งที่ถูก
วันที่ 24 ก.พ.60 เพจ Drama - addict ได้โพสต์ถึงกรณ๊ตำราสุขศึกษาเล่มหนึ่ง ที่ไว้ใช้ประกอบการเรียนการสอนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ว่าเนื้อหาด้านในที่ถูกต้องไม่ใช่แบบในหนังสือ
โดยระบุว่า...
จากตำราสุขศึกษา ม .1 ถามจริง ใครพรูฟเนื้อหาให้วะ
ไม่ใช่ 5:1 แต่ปั๊มหัวใจสามสิบครั้ง ผายปอดสองครั้งสลับไป จำนวนครั้งนี้สำคัญเพราะความสำคัญของการปั๊มหัวใจสูงกว่าการผายปอด ปั๊มๆแป้บๆห้าที ผายปอดทีนึง โอกาสช่วยไม่ได้ปั๊มไม่ฟื้นยิ่งสูงลิบ
อ้างอิง http://www.thaicpr.com/?q=node/237 (มูลนิธิสอนช่วยชีวิต) เนื้อหามีดังนี้
การกู้ชีวิตขั้นสูงสำหรับผู้ใหญ่
(Adult CardioPulmonary Resuscitation: CPR)
ห่วงโซ่ของการรอดชีวิต (Chain of Survival)
เมื่อพบผู้ป่วย(สงสัย)หัวใจหยุดเต้น* แจ้งหน่วยแพทย์กู้ชีพ “1669” ทันที
*1. ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว 2. ไม่หายใจ หรือ หายใจไม่สม่ำเสมอ (gasping) โดยไม่ต้องทำ “ตาดู หูฟัง แก้มสัมผัส”
เริ่มกดหน้าอกทันทีที่สามารถทำได้
ช็อกไฟฟ้า (defibrillation) ทันที ที่มีข้อบ่งชี้
การช่วยชีวิตขั้นสูง (Advanced Cardiovascular Life Support)
การดูแลหลังการกู้ชีวิต (Post-Cardiac Arrest Care)
การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (Basic Life Support: BLS)
เริ่มต้นทำทันที เมื่อพบผู้ป่วยสงสัยหัวใจหยุดเต้น และขอความช่วยเหลือจากทีมแพทย์กู้ชีพแล้ว โดยมีขั้นตอน C-A-B
C: Chest compression - เริ่มกดหน้าอก 30 ครั้ง โดยให้ความสำคัญกับ
กดลึก (อย่างน้อย 5 เซนติเมตร) และกดเร็ว (อย่างน้อย 100 ครั้ง/นาที)
ถอนมือจนสุด
กดให้ต่อเนื่อง
ห้าม ช่วยหายใจมากเกินไป
A: Airway - เปิดทางเดินหายใจให้โล่ง ด้วยการทำ การเชิดหัว-เชยคาง (head tilt-chin lift) หรือยกกราม (jaw thrust)
B: Breathing - ช่วยหายใจ 2 ครั้ง แล้วเริ่มกดหน้าอกในข้อ 1 ต่อ เพื่อให้อัตราการกดหน้าอกต่อการช่วยหายใจ = 30:2
ทำขั้นตอน C-A-B ไปเรื่อย ๆ จนกว่า เครื่องช็อกไฟฟ้า (defibrillator) มาถึง
AED คืออะไร?
AED (Automatic External Defibrillator) คือ เครื่องช็อกไฟฟ้าที่ถูกออกแบบให้อ่านคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และช่วยช็อกไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับคลื่นหัวใจ
AED มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้น มีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น จากการช็อกไฟฟ้าที่เร็วขึ้น โดยผู้ช่วยเหลือ ณ ที่เกิดเหตุ (bystander) เช่น เจ้าหน้าที่กู้ชีพ เจ้าหน้าที่กู้ภัย เจ้าหน้าที่ดับเพลิง นอกจากนี้ใน guideline ปี 2010 ยังได้แนะนำให้ใช้ AED ในโรงพยาบาล ในพื้นที่ที่ไม่ชำนาญการ CPR และไม่คุ้นเคยกับการอ่าน EKG
การกู้ชีวิตขั้นสูง (Advanced Cardiovascular Life Support: ACLS)
แบ่งแนวทางการรักษาออกเป็น 3 กรณี ได้แก่
ไม่มีชีพจร (Pulseless Arrest)
มีชีพจรเต้นช้ากว่าปกติ (Bradycardia with Pulse)
มีชีพจรเต้นเร็วกว่าปกติ (Tachycardia with Pulse)
1. Pulseless Arrest
ประกอบไปด้วยขั้นตอนเรียงตามลำดับความสำคัญ ดังนี้
เริ่มต้นด้วยการกู้ชีพขั้นพื้นฐานอย่างมีประสิทธิภาพ
การเปิดเส้นเลือดดำและการให้ยา
การใส่อุปกรณ์ช่วยหายใจ (advanced airway) โดยเมื่อใส่ท่อช่วยหายใจแล้ว เปลี่ยนอัตราส่วนการกดหน้าอกต่อการช่วยหายใจจาก 30:2 เป็นการกดหน้าอกต่อเนื่องด้วยอัตราเร็ว 100 ครั้ง/นาทีเป็นเวลา 2 นาที และช่วยหายใจในอัตรา 8-10 ครั้ง/นาที
การ monitor capnography เพื่อวัดระดับ CO2 ที่ออกมากับลมหายใจผู้ป่วย ซึ่งการ monitor capnography มีประโยชน์ดังนี้
ช่วยยืนยันตำแหน่งของท่อช่วยหายใจ
บ่งบอก และควบคุมคุณภาพของการกดหน้าอก (PETCO2 >= 10 mmHg)
สัญญาณบ่งบอกถึงการกลับมาเต้นของหัวใจ (Return Of Spontaneous Circulation: ROSC) ระดับของ PETCO2 ขึ้นสูงไปเป็น 35-40 mmHg
การดูแลต่อเนื่องหลังจากการกู้ชีวิต ควบคุมการหายใจ ให้ PETCO2 อยู่ในระดับ 35-45 mmHg
การค้นหาสาเหตุของหัวใจหยุดเต้น และให้การรักษาสาเหตุ ซึ่งประกอบไปด้วย 5H และ 5T ดังนี้
วงรอบการกู้ชีวิต ผุ้ป่วยหัวใจหยุดเต้น
แนวทางการให้การรักษาภาวะหัวใจหยุดเต้น
2. มีชีพจร เต้นช้ากว่าปกติ (Bradycardia with Pulse)
3. มีชีพจร เต้นเร็วกว่าปกติ (Tachycardia with Pulse)
การดูแลหลังการกู้ชีวิต (Post-Cardiac Arrest Care)
มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ป่วยที่รอดชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้น มีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดอัตราการเสียชีวิต และความพิการ ที่อาจเกิดขึ้นตามมา โดยมีแนวทางในการดูแลรักษาดังนี้
ให้ O2 ให้น้อยที่สุด เพื่อรักษาระดับ O2 sat ให้ >= 94%
ช่วยหายใจด้วยอัตรา 10-12 ครั้ง/นาที โดยให้ระดับ PETCO2 อยู่ในช่วง 35-45 mmHg
รักษาภาวะความดันโลหิตต่ำ โดยให้ SBP >= 90 mmHg ด้วยการให้ IV fluid หรือยา vasopressor (Dopamine, Adrenaline, Norepinephrine)
รักษาระดับน้ำตาลในเลือด ให้อยู่ในช่วง 144-180 mg%
พิจารณาทำ Induced Hypothermia โดยลดอุณหภูมิร่างกายลงเหลือ 32-34 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 12-24 ชั่วโมง
พิจารณาสวนเส้นเลือดหัวใจ เพื่อเปิดทางเดินเส้นเลือด coronary (coronary reperfusion) กรณีที่สงสัยสาเหตุหัวใจหยุดเต้นจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
สรุปแนวทางการกู้ชีวิต ปีค.ศ.2010
เป็นการปรับปรุงแนวการให้การรักษาผู้ป่วยที่หัวใจหยุดเต้น โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มอัตราการรอดชีวิต ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งให้ความสำคัญกับการกู้ชีวิตขั้นพื้นฐาน ซึ่งเน้นการกดหน้าอกอย่างมีประสิทธิภาพ (C-A-B) และการช็อกไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว
การกู้ชีวิตขั้นสูงเป็นการใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ และยาในการช่วยเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตของผู้ป่วย แต่อย่างไรก็ตาม ต้องตั้งอยู่บนการทำการกู้ชีวิตขั้นพื้นฐานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการรักษาสาเหตุของภาวะหัวใจหยุดเต้นนั้น การดูแลรักษาต่อเนื่อง หลังจากที่หัวใจกลับมาเต้นเป็นปัจจัยสำคัญในการลดอัตราการเสียชีวิต และอัตราความพิการที่จะเกิดตามมา
หนังสืออ้างอิง
-
2010 American Heart Association Guidelines for Cardiopulmonary Resuscitation and Emergency Cardiovascular Care Science, November 2, 2010, Volume 122, Issue 18 suppl 3
--------------------------
Pattra Tnews






