- 30 ก.ค. 2560
เอาจริง!!วัดชลประทานฯขึ้นป้ายเขตปลอดพวงหรีด ศพไหนไม่มีหรีด เผาฟรี
หากจะกล่าวถึงงานศพ สิ่งแรกๆที่เราจะนึกถึง คือ "พวงหรีด" ที่ใช้เป็นการแสดงออกถึงความอาลัยต่อผู้จากไป หรือ ผู้วายชนม์ แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากจบงาน "พวงหรีด"ที่เราเห็นสวยงามกลับสร้างปัญหาให้กับทางวัดในการกำจัดทิ้ง จนเรียกว่า เรื่องนี้ได้สร้างภาระให้กับวัดแต่ละวัดไม่น้อยกับพวงหรีดกองโตของงานศพแต่ละงาน และทางวัดชลประทานรังสฤษดิ์ ถือเป็นวัดแรกที่มีนโยบายงดรับพวงหรีด
โดยพระปัญญานันทภิกขุ หรือ พระพรหมมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสคนแรกของวัดชลประทานรังสฤษดิ์(ซึ่งมรณภาพแล้ว)มีนโยบายชัดเจนไว้แต่แรกว่า การจัดงานฌาปนกิจศพที่วัด จะต้องเป็นไปอย่างเรียบง่ายต่างจากที่วัดอื่น มีเพียงการบรรยายธรรม ไม่มีการเลี้ยงอาหาร ไม่มีการแสดง ไม่มีมหรสพ และงดพวงหรีด ทั้งหมดนี้จึงถูกนำมาเป็นข้อกำหนดของทางวัดชลประทานรังสฤษดิ์ในเวลาต่อมา ที่ห้ามจัดเลี้ยงอาหารสำหรับแขกที่มาใน งาน แต่หากเป็นอาหารกล่องสามารถทำได้ และที่สำคัญคือให้งดการนำพวงหรีดมาในงานศพ โดยแต่ละศาลาวัดจะมีป้ายติดประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า "สืบสานปณิธาน หลวงพ่อปัญญา พิธีกรรมเป็นระเบียบ-เรียบง่าย ได้ประโยชน์ และ ประหยัด งดพวงหรีด ในงานศพ เขตปลอดหรีด เขตปลอดโฟม ทั้งนี้ทางวัดให้เหตุผลว่า เป็นเพราะหลังจากเสร็จงานแล้ว วัดมีปัญหามากในการกำจัดขยะ และหากงานศพใดไม่มีพวงหรีด ก็จะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเผาศพ ศพทุกศพทางวัดจะจัดการเผาศพให้ฟรี และยิ่งไปกว่านั้นทุกคืนที่มีการสวดศพ ในแต่ละศาลาวัด จะต้องมี การเทศนาธรรม อย่างน้อย 30 -45นาที นอกเหนือไปจากพิธีสวดพระอภิธรรมศพปกติทั่วไป
ซึ่งการเทศนาธรรมนี้ถือเป็นอีกหัวใจสำคัญที่พระปัญญานันทภิกขุต้องการให้ผู้ที่เข้าร่วมพิธีศพที่วัดชลประ ทานรังสฤษดิ์ ได้รับฟังพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และนำพาเอาธรรมะกลับบ้านไป ด้วย คือเมื่อมีโอกาสเข้าวัดแล้วก็ไม่ควรกลับบ้านไปแบบตัวเปล่า ควรได้เข้าถึงสัจจธรรมของคำว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย โดยเฉพาะกับคำว่าความตาย ว่าย่อมเป็นธรรมดาแห่งชีวิต ที่ทุกสรรพสิ่งย่อมมีวันสูญสลายตาม ธรรมชาติเป็นเรื่องธรรมดา
ขอบคุณ:ภาพ ชื่อวัดจากpainaidii และข้อมูลจากวิกิพีเดีย และnavy09.blogspot






