- 14 ต.ค. 2560
“พ่อของแผ่นดิน”.....พระราชาผู้ทรงงานเพื่อคนไทย 70 ล้านคนยากที่ใครจะเสมอเหมือน ประยุทธ์ยกพระราชกรณียกิจสำคัญอันยิ่งใหญ่ตลอดรัชสมัย
“พ่อของแผ่นดิน”.....พระราชาผู้ทรงงานเพื่อคนไทย 70 ล้านคนยากที่ใครจะเสมอเหมือน ประยุทธ์ยกพระราชกรณียกิจสำคัญอันยิ่งใหญ่ตลอดรัชสมัย “ ดูแลทุกข์สุขประชาชนทุกหมู่เหล่า-สร้างไทยมีที่ยืนในเวทีโลก-ศูนย์รวมจิตใจคนไทยฝ่าวิกฤติ” ให้คำมั่นรัฐบาลจะรวมใจคนไทยจัดพิธีถวายพระเพลิงให้เรียบร้อยสมบูรณ์ เพื่อถวายพระเกียรติสูงสุดเป็นครั้งสุดท้าย
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2560 เวลา 20.15 น. โดยกล่าวว่า การทรงงาน 70 ปี เพื่อพวกเรากว่า 70 ล้านคนของในหลวงรัชกาลที่ 9 ผู้ทรงครองราชย์ด้วย “ทศพิธราชธรรม” และทรงยึดมั่นในพระปฐมบรมราชโองการ ที่ว่า “เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” โดยที่พระองค์ไม่เคยทรงทอดทิ้งให้ประชาชนคนไทย ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาโดยลำพัง แต่นับจากนี้ไป ความสุขเหล่านั้น จะไม่มีอีกแล้ว แต่โชคดีที่คนไทยยังมีรัชกาลที่ 10 ที่ทรงรักษาสืบสานต่อยอดสิ่งเหล่านี้ต่อไป
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2559 เวลา 15 นาฬิกา 52 นาที ถือเป็นห้วงเวลาแห่งความวิปโยคโศกศัลย์ เป็นวันที่ความเศร้าสลดสูญเสียท่วมท้นจิตใจของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ เมื่อสำนักพระราชวัง ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตรเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว สุดที่คนไทยจะหักห้ามความอาลัยรัก และความระลึกถึง ที่มีแด่พระองค์ พระผู้เปรียบดั่ง “พ่อของแผ่นดิน” ได้ โดยความกตัญญูกตเวที และความจงรักภักดี ก็จะยังอยู่ในจิตใจของพวกเรา พสกนิกรของพระองค์ตลอดไป ตลอดรัชสมัยของพระองค์ได้ทรงทำหน้าที่พ่อของแผ่นดินได้อย่างยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือนพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านมีมากมายเกินกว่าจะเอ่ยได้ครบถ้วน ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่พ่อคนหนึ่งพึงจะทำให้กับลูกอย่างดีที่สุด ซึ่งผมขอกล่าวโดยสรุป เป็น 3 ประการ คือ
ประการแรก คือ ทรงดูแลพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา บนผืนแผ่นดินไทย ด้วยความเสมอภาค ให้ลูกหลานไทยทุกคนอยู่ดีกินดี โดยทรงสอนให้เรียนรู้และอยู่กับธรรมชาติ อย่างสมดุล ทั้งดิน – น้ำ – ป่า ด้วยการทำนุบำรุง ฟื้นฟู และใช้สอยทรัพยากรธรรมชาติ อย่างยั่งยืน ทั้งการสร้างฝายชะลอน้ำ แก้มลิง และฝนเทียม เป็นที่มาของศูนย์การเรียนรู้และโครงการพระราชาดำริ กว่า 4,500 แห่งทั่วประเทศ ประการที่สองในบทบาทพ่อของแผ่นดินพระองค์ทรงเตรียมความพร้อมให้คนไทยสามารถก้าวเดินเข้าสู่โลกกว้างได้อย่างสง่างาม โดยทรงทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักยอมรับ และได้รับการสนับสนุนในเวทีระหว่างประเทศ ด้วยการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ และการให้การต้อนรับราชอาคันตุกะจากต่างประเทศ อีกทั้งยังทรงให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วยความจริงใจ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาชาวโลก เป็นรากฐานให้ลูกหลานไทยมีจุดยืนที่มั่นคงในสังคมโลก และยกระดับความเป็นอยู่ของพสกนิกรหรือลูกๆของพระองค์ให้ทัดเทียมสากล
สำหรับประการสุดท้ายที่สำคัญยิ่ง คือในหลวงรัชกาลที่ 9ทรงเป็น “จุดศูนย์รวมจิตใจ” ของพสกนิกรชาวไทยทั้งชาติ ทรงให้ข้อคิดในการดำรงชีวิตเช่น ไม่ให้พวกเรายอมแพ้ต่ออุปสรรค ทรงให้กำลังใจทุกครั้งในคราวที่ประเทศชาติและประชาชน ประสบความทุกข์ยากหรือสาธารณภัย ทั้งน้ำท่วม ฝนแล้ง พายุเกย์ ปี 2532 สึนามิ ปี 2547 ทรงสอนพวกเราให้รู้จักการเสียสละผลประโยชน์ส่วนตน เพื่อส่วนรวม นอกจากนี้ ทรงให้สติและทางออกของทุกปัญหา รวมทั้งวิกฤตการเมืองในประเทศทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา จนทำให้พวกเรา ตระหนึกถึงความรักและความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ของคนในชาติ
“ ทั้งหมดนี้ ถือเป็นการทำหน้าที่ของพ่อที่สมบูรณ์แบบ โดยทรงเป็นพ่อที่ทุ่มเททั้งกำลังกายและกำลังใจ ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทรงเป็นพ่อด้วยการกระทำและจิตวิญญาณ จวบจนวาระสุดท้ายของพระองค์ และจะทรงเป็นพ่อที่จะไม่เพียงจะตราตรึงอยู่ในหัวใจของลูกๆ ชาวไทยทุกคนและจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของโลกด้วยเช่นกัน” นายกฯกล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลขอให้คำมั่นแก่พี่น้องประชาชนคนไทยว่าเราจะร่วมกันทั้งจิตอาสาเฉพาะกิจฯ และทุกภาคส่วนในสังคมไทย ในการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในวันที่ 26 ตุลาคม ที่จะมาถึงนี้ ให้เรียบร้อยสมบูรณ์ที่สุด เพื่อถวายพระเกียรติยศอันสูงสุดเป็นครั้งสุดท้าย
“วันนี้พระราชภารกิจได้ปลดเปลื้องลงแล้ว ทว่าผลแห่งพระวิริยะอุสาหะที่ทรงอุทิศพระองค์ รวมทั้งมรดกพระราชทาน อันได้แก่ศาสตร์พระราชาทั้งหลายตลอดรัชสมัย จะยังคงเป็นพระบารมีปกเกล้าปวงประชาให้อยู่เย็นเป็นสุข และปกป้องแผ่นดินไทยให้รอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวง ทั้งนี้ วันที่ 13 ตุลาคมของทุกปีนับจากนี้สืบไป จะไม่เป็นเพียงวันที่ปวงชนชาวไทย จะได้สำนึกและรำลึกถึงพระองค์ท่านพระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งเท่านั้น แต่จะเป็นวันที่พวกเราทุกคน จะได้รู้ รัก สามัคคี โดยหลอมรวมจิตใจให้เป็นหนึ่งเดียว ให้สมกับที่พระองค์ผู้ทรงเป็นกำลังของแผ่นดิน ได้ทรงวางรากฐานไว้ โดยพวกเราต้องร่วมกันสืบสานสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ให้คงอยู่ตลอดไป และพระองค์จะทรงประทับอยู่ในจิตใจของคนไทยทั้งชาติชั่วกาลนาน” นายกฯกล่าว
/////////////////////






