- 18 ต.ค. 2560
บั้งไฟพญานาค กับความเชื่อ เชื่อมโยงพระพุทธศาสนา ได้อย่างไร?
จากปรากฎการณ์ของพญานาคที่ปรากฎตามหน้าสื่อต่างๆอย่างถี่ยิบ และมักจะเกิดขึ้นในช่วงใกล้กับวันออกพรรษา ซึ่งสอดคล้องกันระหว่างปรากฏการณ์
“บั้งไฟพญานาค “กับความเชื่อซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับทางพุทธศาสนาที่ว่า…
ในกาลนั้น พระพุทธเจ้า ได้เสด็จขึ้นไปแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระมารดา ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และทรงประทับอยู่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จนครบ 1 พรรษา (3 เดือน) จึงทรงเสด็จกลับมายังเทวโลก
(เมืองมนุษย์)ในวันขึ้น15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งตรงกับวันออกพรรษา
ครั้น เมื่อได้เวลาเสด็จกลับ พระพุทธเจ้า ก็ทรงเสด็จมาประทับยืนที่ฐานศีรษะบันไดแก้ว ซึ่งเหล่าเทพยดาได้เนรมิตรขึ้น เพื่อถวายแด่ พระพุทธเจ้า ใช้เยื้องย่างลีลาเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่ามกลางเหล่าเทพพรหมบริษัทแวดวงห้อมล้อมเป็นบริวาร
พระพุทธองค์ จึงได้แสดงพุทธานุภาพ กระทำ“โลกวิวรรณปาฏิหาริย์”
เปิดโลก โดยทรงทอดพระเนตรไปในทิศต่างๆทั้งเบื้องบนเบื้องล่างเบื้องหน้าเบื้องหลังรวมทั้งหมด ๑๐ ทิศด้วยกันด้วยพุทธานุภาพแห่ง พระพุทธองค์ทันใดนั้นเอง…สิ่งที่อาศัยอยู่ทั่วทุกสารทิศ ในจักรวาล(โลกทั้งสาม) ต่างก็สามารถมองทะลุผ่านแลเห็นซึ่งกันและกันเป็นครั้งแรก โดยเทวดาบนสวรรค์ได้มองเห็นมนุษย์ เห็นยมโลก (เห็นนรก) และ มนุษย์ก็สามารถมองเห็นเหล่าเทวดามองเห็นสัตว์นรก แม้แต่สัตว์นรกก็เช่นเดียวกันสามารถมองเห็นมนุษย์ตลอดกระทั่งเทวดาบนสวรรค์ โดยไร้สิ่งใดปิดกั้นระหว่างโลกทั้งสาม และกาลนั้น พระพุทธองค์ ก็ได้ทรงเมตตาแสดงพระธรรมเทศนา ประทานโปรดแก่โลกทั้งสาม คือ โลกสวรรค์,เทวโลก,และ ยมโลก อีกด้วย
ในส่วนของมนุษย์โลก เราก็จะมีพิธีการทำบุญตักบาตร นำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้บูชาพระ เมื่อความนี้รู้ถึงเหล่า พญานาค ที่อาศัยอยู่ในเมืองบาดาลเข้า พญานาค จึงได้พากันจัดทำ “บั้งไฟพญานาค” ขึ้นเป็นจำนวนมากเพื่อจุดถวายการต้อนรับแด่ พระพุทธเจ้า ในการที่ พระองค์เสด็จกลับมายังโลกมนุษย์ และถือเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองของเหล่า พญานาค ด้วยเช่นกัน และประเพณีนี้ก็ได้กลายมาเป็นประเพณีที่เหล่าชาวพุทธนั้นสืบสานต่อๆกันมาจวบกระทั่งปัจจุบัน
ในคืน”วันออกพรรษา” ของทุกๆปี หรือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ณ ลำน้ำโขงตรงจุดบริเวณรอยเชื่อมต่อระหว่าง”จังหวัดหนองคาย“กับ”เมืองเวียงจันทน์” โดยเฉพาะที่ อ.โพนพิสัย มักจะเกิดปรากฏการณ์อันน่าพิศวง ซึ่งก็เป็นปรากฎการณ์ที่เราทุกคนล้วนมีความคุ้นเคยและต่างก็รู้จักกันดีในนาม…“บั้งไฟพญานาค”
ซึ่ง บั้งไฟพญานาค นั้นจะมีรูปลักษณะเป็นลูกไฟประหลาด หากปรากฎขึ้นที่กลางแม่น้ำโขงจะมีลักษณะพุ่งเอนเข้าหาฝั่ง แต่ถ้าหากว่าเกิดขึ้นอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง บั้งไฟพญานาค จะมีลักษณะพุ่งเอนออกไปยังบริเวณจุดกลางแม่น้ำโขงในลักษณะเป็นลูกไฟตั้งแต่ขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือ ไปจนถึงขนาดใหญ่โตเท่ากับไข่เป็ดไข่ห่านหรือผลส้ม มีลักษณะเป็นสีแดงอมชมพูกึ่งสีบานเย็น ดูคล้ายๆสีแดงทับทิม ซึ่งไร้กลิ่นควัน ไร้เขม่า ไร้เปลว ไร้เสียง พวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ลำน้ำโขงแล้วดับหายไปในอากาศ ซึ่งลูกไฟประหลาดเหล่านี้จะพุ่งสูงขึ้นจากผิวน้ำประมาณระดับ 50-150 เมตร ปรากฎให้เห็นแค่เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ 5-10 วินาทีเท่านั้น
แล้วจะค่อยๆดับหายวับไปในอากาศ ทั้งๆที่ยังคงมีสภาพเป็นลูกไฟดวงโตอยู่โดยไม่ได้หรี่เล็กลงและไม่มีลักษณะวกกลับโค้งตกลงมาเหมือนกับดอกไม้ไฟทั่วไป ลูกไฟประหลาด หรือ “บั้งไฟพญานาค”จะเริ่มมีปรากฎให้เห็นตั้งแต่ช่วงเวลาหัวค่ำไปจนถึงกลางดึก ซึ่งก็เป็นปรากฎการณ์อันพิศวงและเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์อย่างมากเลยทีเดียว
ตราบจนทุกวันนี้ บั้งไฟพญานาค ก็ยังคงเป็นปริศนาที่มืดบอดสนิท ซึ่งยังคงไม่มีผู้ใดที่สามารถล่วงรู้ทราบความเป็นมาของปรากฎการณ์อันพิศวงที่เกิดขึ้นนี้อย่างแน่ชัด คาดว่าน่าจะเป็นโจทย์ปัญหาซึ่งมีความยากมากรอคอยให้มนุษย์ผู้มีความขี้สงสัยใคร่รู้ทั้งหลายมาพิสูจน์และช่วยกันขบคิดไขโจทย์ปัญหาปริศนาอันลี้ลับนี้กันต่อไปว่า..บั้งไฟพญานาค ที่พวกเราเห็นกันนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? บางคนก็เชื่อว่าเป็นการแสดงอิทธิฤทธิ์ของเหล่า พญานาค ที่อาศัยอยู่ใต้ลำน้ำโขง หรือ เมืองบาดาล บ้างก็ว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ,ส่วนบางพวกบางกลุ่มก็สรุปกันว่าจริงๆแล้ว”บั้งไฟพญานาค”น่ะเกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์นั้นแหละ!!
แต่ไม่ว่าบั้งไฟพญานาคนั้นจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แต่ก็ยังมีอยู่สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นสีสัน ซึ่งเกี่ยวโยงกับเรื่องนี้ ก็คือ เรื่องราวของเมืองพญานาคใต้ลำน้ำโขงช่วงเขต จ.หนองคายและเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งไปสอดรับกับเรื่องราวของพญานาคในทางพุทธศาสนา ที่มีบันทึกไว้ว่า…
...แต่เดิมทีเหล่าบรรดา พญานาค ที่อาศัยอยู่ในเมืองบาดาลนั่นมีนิสัยที่ดุร้ายมาก ครั้นเมื่อ พระพุทธเจ้า เสด็จมาโปรดสัตว์ที่เมืองบาดาล กาลนั้นเหล่าพญานาคในเมืองบาดาลได้ฟังพระธรรมเทศนาที่ พระพุทธเจ้า ทรงเมตตาแสดง (พระธรรมเทศนา)โปรดแก่เหล่าบรรดา พญานาค ที่อาศัยอยู่ในเมืองบาดาล แล้วพญานาคต่างก็บังเกิดความเลื่อมใสศัทธาในพุทธศาสนา และหลักการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก นับแต่นั้นเป็นต้นมา เหล่าบรรดา พญานาค ต่างก็เลิกนิสัยดุร้าย พากันหันหน้าเข้าสู่ทางธรรมฝึกการปฏิบัติสมาธิครองศีล ให้ทาน และมุ่งมั่นทำตามกฏระเบียบวินัย ซึ่งพระพุทธเจ้า ได้ทรงมีพระบัญญัติไว้อย่างเคร่งครัด
ด้วยเพราะเหล่าบรรดา พญานาค นั้นต่างก็มีใจมุ่งมาดปรารถนาที่จะออกบวชเพื่อแสวงหาความสงบสุขอันแท้จริง ดั่งเช่น พระพุทธเจ้า จึงมีความต้องการที่จะหลุดพ้นจากภพภูมิแห่งตน แต่ก็ยังติดตรงที่ พญานาค นั้นไม่ใช่มนุษย์ มีสถานะภาพรูปลักษณ์ที่เป็นสัตว์ ซึ่งมีความไม่งอกงามในธรรมวินัยนี้เป็นธรรมดา จึงไม่สามารถบวชครองตนเป็นสมณเพศอยู่ภายใต้”ร่มกาสาวพัสตร์”เช่นเดียวกันกับมนุษย์ ซึ่งกฏวินัยข้อห้ามข้อนี้เองที่ได้สร้างบาดแผลความเจ็บปวดรวดร้าวใจให้แก่บรรดา พญานาค อย่างแสนสาหัส…
ซึ่งได้มีบทความกล่าวว่า ครั้นเมื่อ พระพุทธเจ้า ได้ทราบความทั้งหมดจาก พญานาค ตนนั้นแล้ว พระองค์จึงประทานพุทธโอวาท แก่พญานาคดังนี้….
“พวกเจ้าเป็นนาค มีความไม่งอกงามในธรรมวินัยนี้เป็นธรรมดา ไปเถิดเจ้านาค จงไปรักษาอุโบสถศีลในวันที่ 14 วันที่ 15 และวันที่8 แห่งปักษ์นั้นแหล่ะ (14 ค่ำ 15 ค่ำ 8 ค่ำ) การรักษาอุโบสถศีลนี้มีบุญมาก ด้วยวิธีนี้เจ้าจักหลุดพ้นจากการกำเนิดในภพภูมินาค จักทำให้เจ้าได้อัตภาพกำเนิดเป็นมนุษย์เร็วพลัน”
ซึ่ง“ในคัมภีร์มหาวรรค แห่งพระวินัยปิฎก”[ มีเขียนระบุเอาไว้แค่นี้ส่วนที่เหลือนั้นน่าเป็นการเล่าเสริมขึ้นมา] ก่อนที่ พญานาค จะทูลลาพระพุทธเจ้ากลับไปยังภพภูมิของตน พญานาค ได้ทูลขอพรกับ พระพุทธเจ้า เอาไว้ว่า..”ในเมื่อตนนั้นเป็นเพียงสัตว์ ไม่สามารถที่จะบรรลุธรรมได้ดั่งเช่นมนุษย์ ฉะนั้น ตนขอฝาก ชื่อ (คำว่านาค)ของตนไว้ให้นำไปใช้เป็นชื่อนามเรียกขานก่อนมนุษย์ผู้นั้นจะเข้าบวชเป็นภิกษุใหม่ในพุทธศาสนา เพื่ออาศัยให้ผู้ที่จะเข้าพิธีบวชเป็นภิกษุใหม่นั้นอุทิศผลบุญกุศลมาให้แก่ตนซึ่งไม่สามารถบวชได้ [เพราะเหตุนี้ก่อนผู้ที่บวชจะบวชเข้าเป็นภิกษุใหม่จึงถูกเรียกขานนามว่า “นาค” สืบมา]
และเนื่องจากสาเหตุที่ว่าพวกตนนั้นเป็นเพียงสัตว์ พญานาคจึงได้ตั้งจิตอธิษฐานปวารณาตนเป็นพุทธมามกะ ขอให้พวกตนได้เป็นผู้ปกครองทำหน้าที่ในการคุ้มครองปกป้องดูแลพุทธศาสนาคอยช่วยสืบสานและสืบทอด หลักธรรม แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ดำรงอยู่ยาวนานจวบกระทั่งครบ5,000ปี….
***พุทธมามกะ แปลว่า ผู้ถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นของเรา หมายถึงผู้ประกาศตนว่าขอนับถือ พระพุทธเจ้า เป็น สรณะ หรือผู้ประกาศตนว่าเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนานั่นเอง****
ขอขอบคุณท่านผู้เป็นเจ้าของเครดิตภาพที่ผู้เขียนได้นำมาจาก (อินเตอร์เน็ต)เพื่อใช้ในการแสดงประกอบเนื้อหาสาระข้อมูลนี้ค่ะ
และขอบคุณแหล่งสาระความรู้ข้อมูลด้านประวัติความเป็นของพญานาค (บางส่วน!!)จากอินเตอร์เน็ต ค่ะ
เรียบเรียงโดย:โชติกา พิรักษา และ ศศิภา ศรีจันทร์ ตันสิทธิ์