- 06 พ.ย. 2560
กาลเวลา...500 หรือ 5,000ปีกันแน่? "พุทธทำนาย"ที่ว่าพระสัทธรรมหรือพระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่! ...ถึงกาลนั้นโลกจะแตกจริงรึ?
วันนี้ผู้เขียนขอเสนอเรื่องราว..”พุทธทำนาย”ฉบับแท้ (ของแท้):ซึ่งมี
คำนายไว้ว่า..พุทธศาสนาจะล่มสลาย ในอีก “500”ปี โดยมี…
”ผู้หญิง”เป็นต้นเหตุสำคัญ!! แต่ทว่า”พุทธทำนาย”นั้นจะมีความเท็จจริงแท้แค่ไหนอย่างไร?เรามาดูกันดังต่อไปนี้ค่ะท่านผู้ชม…
คำว่า“หมอดูเขาว่าคู่กับหมอเดา” นั้นเป็นสำนวนไทยสุดฮิตที่มักถูกนำมาใช้เพื่อลดคุณค่าของ”โหราศาสตร์ “ซึ่งเรามักจะได้ยินกันอยู่บ่อยๆ เมื่อคราใดที่คำทำนายออกมาไม่ตรงใจ หรือเมื่อเวลาผ่านไปแล้วผลของคำทำนายไม่เกิดขึ้น แต่โหราศาสตร์ก็อยู่คู่กับคนไทยมาโดยตลอด ในฐานะที่พึงทางใจ ที่แม้ผลทำนายออกมาไม่ดีแต่ก็ล้วนมีทางแก้ ซึ่งบางครั้งกลายเป็นเครื่องมือในการหาประโยชน์จนดูเกินเลยในส่วนหลักความเป็นจริงของผู้ทำนายไปด้วย
ส่วนด้านความผูกพันของคนไทยกับคำทำนายและโหราศาสตร์ นั้นเราจะเห็นได้จากกิจกรรมสำคัญต่างๆ ของคนไทยที่มักจะพึ่งพาหมอดูหรือ
ผู้รู้ในด้านโหราศาสตร์ในการหา”ฤกษ์ยาม”เพื่อความเป็นสิริมงคลตั้งแต่งานบวช งานแต่ง ไปจนถึงงานตาย และใน คัมภีร์ หรือ บันทึกโบราณของชาวพุทธเองก็มีการกล่าวถึงคำทำนาย ซึ่งว่ากันว่าเป็นคำทำนายของพระพุทธเจ้าเอง ที่มักจะเรียกกันว่า “พุทธทำนาย”
นับตั้งแต่เด็กมาแล้วที่ผู้เขียนมักจะได้ยินอยู่บ่อยครั้งว่า “พระพุทธเจ้า”
เคยทำนายเอาไว้ว่า พระศาสนาของพระองค์จะดำรงอยู่ได้ถึง”5,000”ปี และตัวผู้เขียนเองก็เชื่อมาโดยตลอดว่า คำทำนายดังกล่าวนั่น เป็น… “พุทธทำนาย” ของแท้ ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ด้วยพระองค์เอง จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ผู้เขียนได้ทำการสืบค้นหาที่มาของ คำทำนาย
ดังกล่าวว่า โดยอาศัย”พระไตรปิฎก “แหล่งรวม”พุทธพจน์”ที่น่าจะมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด แต่ทว่าสิ่งที่ผู้เขียนพบกลับไม่ได้เป็นตามความเข้าใจหรือเป็นเช่นเดียวกันกับที่ผู้เขียนได้รับฟังมา เพราะในทางกลับกัน
“พระพุทธองค์ทรงทำนายว่า พระธรรมของพระองค์จะอยู่รอดได้เพียง “500 ปี” เท่านั้น และ “ผู้หญิง” ยังเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้พระธรรมของพระองค์อายุสั้นกว่าที่ควร”
ซึ่งพุทธทำนายดังกล่าวนี้ปรากฏอยู่ในพระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม 7 ภาค 2 ในตอนที่ พระนางมหาปชาบดีโคตมี พระมาตุจฉา ของ…
พระพุทธองค์ พยายามทูลขอออกบวชหลายครั้ง แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาต จนกระทั่งพระอานนท์โน้มน้าวให้พระพุทธองค์ทรงยอมให้
พระนางมหาปชาบดีโคตมี ออกบวชได้ในที่สุด แต่ขณะเดียวกันพระองค์ได้ทรงตรัสว่า…
“ดูก่อนอานนท์ ก็ถ้าสตรีจักไม่ได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ ตถาคต ประกาศแล้ว พรหมจรรย์จักตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมจะพึงตั้งอยู่ได้ตลอดพันปี ก็เพราะสตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว บัดนี้ พรหมจรรย์จักไม่ตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมจักตั้งอยู่ได้เพียง 500 ปีเท่านั้น ดูก่อนอานนท์ สตรีได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยใด ธรรมวินัยนั้นเป็นพรหมจรรย์ไม่ตั้งอยู่ได้นาน เปรียบเหมือนตระกูลเหล่าใดเหล่าหนึ่งที่มีหญิงมาก มีชายน้อยตระกูลเหล่านั้นถูกพวกโจรผู้ลักทรัพย์กำจัดได้ง่าย…”
ทั้งนี้ เนื้อหาในมิลินทปัญหาที่ผู้เขียนยกมานั้นเป็นฉบับภาษาอังกฤษ (The Debate of King Milinda) โดย Bhikku Pesala พระชาวอังกฤษที่ได้รับการบวชให้โดยพระชาวพม่า และเข้ามาศึกษาพระธรรมทั้งในพม่าและไทย ตำราอ้างอิงที่พระรูปนี้ใช้จึงเป็นคัมภีร์บาลีของพม่า..
(รวมไปถึงฉบับแปลในภาษาอื่นๆด้วย) ซึ่งบันทึกไว้ต่างจากฉบับของ
ศรีลังกา (และไทย) ที่ระบุว่า… “พระสัทธรรมของตถาคตจะดำรงอยู่ได้อย่างยาวนานประมาณกำหนดห้าพันปี”
การที่บันทึกของฝ่ายไทยไปแปลมิลินทปัญหาโดยระบุระยะเวลาเอาไว้เช่นนั้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะเนื้อหาในส่วนที่ พระเจ้ามิลินท์ อ้างถึงคือการบวชของผู้หญิงนั้นใน”พระไตรปิฎก”ฉบับภาษาไทยเองก็ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าจะทำให้… “สัทธรรมจักดำรงอยู่ได้เพียง500 ปี” ผู้เขียนจึงเชื่อว่ามิลินทปัญหาฉบับศรีลังกาและไทย น่าจะใส่เลขศูนย์เกินไปหนึ่งตัว
ความผิดพลาดดังกล่าวอาจเกิดขึ้นด้วยความจงใจ กอปรด้วยชาวพุทธมักเชื่อว่า พระพุทธองค์ทรง “ตรัสรู้” ย่อมเป็นผู้รู้ในทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นอดีตปัจจุบัน และอนาคต ทำให้คำทำนายของพระองค์ต้องเป็นจริงแน่นอน การที่พระองค์ตรัสว่าพระธรรมของพระองค์จะดำรงอยู่ได้เพียง 500 ปี แต่พุทธศาสนากลับดำรงอยู่ได้เลยช่วงเวลาดังกล่าว เหตุนี้จึงย่อมทำให้ความเชื่อที่ว่าพระองค์คือผู้รู้ในทุกสรรพสิ่งนั้นเกิดความสั่นคลอนขึ้น
การที่มีการเติมศูนย์เพิ่มเข้าไปในเอกสารชั้นรองอย่างมิลินทปัญหา ผู้บันทึกชาวไทยและศรีลังกาคงเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่การเติมศูนย์เพิ่มเข้าไปในพระไตรปิฎกซึ่งเป็นเอกสารที่สำคัญที่สุดของชาวพุทธย่อมเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม พระเถระจึงใช้ “อรรถกถา” หรือคำอธิบายเสริมพระไตรปิฎก เพื่อขยายความคำพูดของพระพุทธองค์ออกไปว่า แท้จริงที่พระองค์ตรัสว่า พระสัทธรรมจะดำรงอยู่ได้เพียง 500 ปี เพราะมาตุคามบวชแต่กลับไม่ได้เป็นดังที่พระองค์ทรงตรัส เพราะพระองค์ได้ทรงบัญญัติครุธรรมเพื่อกันความละเมิดไว้ก่อน “ทำให้พระสัทธรรมจักดำรงอยู่ตลอดพันปีที่ตรัสไว้แต่ทีแรกนั่นเอง”
นอกจากนี้อรรถกถายังอธิบายต่อไปว่า การคงอยู่ของพระสัทธรรมหนึ่งพันปีตามที่พระพุทธองค์ตรัสถึงก็ด้วยอำนาจ “พระขีณาสพผู้ถึงความแตกฉานในปฏิสัมภิทา” (พระอรหันต์ขั้นสูง) เท่านั้น แต่พระสัทธรรมจะยังคงอยู่ไปอีกพันปีด้วยอำนาจ “พระขีณาสพสุกขวิปัสสกะ” (พระอรหันต์ขั้นรองลงมา) อีกพันปีด้วยอำนาจ “พระอนาคามี” อีกพันปีด้วยอำนาจ “พระสกทาคามี” และอีกพันปีด้วยอำนาจ “พระโสดาบัน” ทำให้พระสัทธรรมของพระพุทธองค์จะคงอยู่ได้รวม “5,000 ปี”
ด้วยเหตุนี้จึงพอจะกล่าวได้ว่า ความเชื่อในพุทธทำนายที่ว่า พระพุทธศาสนาจะอยู่ได้ 5,000 ปี แท้จริงแล้วไม่ได้มาจากพระพุทธองค์เอง แต่เป็นการตีความพุทธพจน์ที่เกิดขึ้นภายหลัง (เนื่องจากไม่อาจตีความตามตัวอักษรได้อีกต่อไป) ซึ่งก็ได้มีการผลิตซ้ำในเอกสารชั้นรองว่า….
คำทำนายดังกล่าวเป็นของพระพุทธองค์เองเช่นในมิลินทปัญหา
ฉบับศรีลังกาและไทย นอกจากนี้ยังมีการอ้างว่า เมื่อครั้งที่คณะธรรมทูตไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่อินเดียเมื่อปี พ.ศ.2484 ได้พบศิลาจารึกในเขตมหาวิหารในสวนมฤคทายวันซึ่งได้ลงจารึกไว้ว่า โลกจะแตกหลังพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว 5,000 ปี (ไปไกลกว่าเดิม) แต่ทั้งนี้ก็เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอยๆ ซึ่งไม่ได้มีการระบุถึงนามของผู้พบและผู้แปลเอาไว้ให้เป็นที่น่าเชื่อถือแต่อย่างใดค่ะ
ขอขอบคุณท่านผู้เป็นเจ้าของเครดิตภาพที่ผู้เขียนได้นำมาจาก (อินเตอร์เน็ต)เพื่อใช้ในการแสดงประกอบเนื้อหาสาระข้อมูลนี้ค่ะ..และขอขอบคุณแหล่งที่มาของภาพและข้อมูลจาก:วิพีกิเดีย
,สโมสรศิลปวัฒนธรรม,และข้อมูลเพิ่มเติม(บางส่วน)
จาก :อินเตอร์เน็ตค่ะเรียบเรียงโดย:โชติกา พิรักษา และ ศศิภา ศรีจันทร์ ตันสิทธิ์






