- 14 พ.ย. 2560
เหลือเชื่อ!! อาถรรพ์ลี้ลับจากสัตว์..."ช้องหมูป่า"-"เขี้ยวหมูตัน" สามารถคุ้มกันภัยให้มนุษย์ได้...ไม่เชื่ออย่าลบหลู่!
วันนี้ผู้เขียนจะพาท่านผู้ชมมารู้จัก!!” เครื่องรางอาถรรพ์ ของขลังของแปลกประจำชาติไทย “(ตอนช้องหมูป่ากับเขี้ยวหมูตัน)ค่ะ ตามปรกติโดยทั่วไปแล้ว เราจะคุ้นเคยกับพวกเครื่องรางของขลังประเภททำขึ้นมาเอง หล่อ หลอม ปลุกเสกกันขึ้นมาใช่ไหมคะ
1.ช้องหมูป่า
มีความเชื่อของที่มาแตกต่างกันออกไป บ้างเชื่อว่า ช้องหมูป่า เป็นเส้นขนพิเศษของหมูป่า ที่ขึ้นอยู่บริเวณตัวของหมูป่า โดยเฉพาะที่บริเวณหัว หรือหว่างคิ้วของมัน มีความยาวเป็นพิเศษ นักไสยศาสตร์ เชื่อกันว่าเป็นของขลังชนิดหนึ่ง ที่มีอิทธิฤทธิ์ด้านคงกระพันมหาอุด ส่วนอีกกลุ่มเชื่อว่า ช้องหมูป่าคือขนที่ยาวเป็นพิเศษของหมูป่า โดยเฉพาะหมูโทน ซึ่งหมายถึงหมูตัวผู้ที่ชอบหากินอยู่ตัวเดียว อย่างทรนง มันจะมีขนเหนือสันหลังขึ้นมาถึงโหนกคอ ยาวเป็นพิเศษ เหมือนหางเปียย้อยลงมาตรงหน้าผาก ยาวจนถึงปากของมัน หมูป่าจะคาบช้องของมันเอาไว้ตลอดเวลา โดยพันเอาไว้กับเขี้ยวด้านหนึ่ง เชื่อกันว่าช้องหมูป่าแบบนี้มีความคงกระพันมหาอุด คุ้มครองทั้งหมูที่เป็นเจ้าของช้อง และคนที่มีช้องของหมูป่าไว้ครอบครอง ส่วนความเชื่อของกลุ่มหลังสุดนี้พิศดารซึ่งมีความน่าสนใจมากๆค่ะ...
เชื่อกันว่าช้องหมูป่า เป็นขนที่ขึ้นอยู่บริเวณลูกอัณฑะของหมูป่าหรืออาจเรียกว่า ขนเพชรหมูป่า ก็น่าจะได้ จัดเป็นขนลักษณะพิเศษเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วหมูป่าโทนที่ชอบออกหากินตัวเดียวไม่เกรงกลัวใคร จะใช้ปากและฟันเลียและกัดขนชองมันมาไว้ในปาก ตวัดและเคี้ยวด้วยน้ำลาย จนขนรวมตัวกันเป็นวงหรือขมวดกลมๆ หรือวงแหวน หมูจะรักษาขนนี้ไว้ในปากตลอดเวลา ไม่ว่าจะกินอะไรมันก็จะซ่อนไว้ในปากได้ อย่างประหลาด หมูป่าตัวนั้นจะมีความอยู่ยงคงกระพันเป็นมหาอุดตลอดเวลาที่มันมีขนนั้น อยู่ในปาก ลูกกระสุนปืนนายพรานจะไม่สามารถทำอะไรมันได้ ดังนั้นพรานป่า นักล่าทางไสยศาสตร์ จึงต้องคอยติดตามหมูตัวที่ต้องการไป คอยจนมันกินน้ำ ตอนกินน้ำนี่เอง ที่หมูป่าจะคายขน หรือช้องหมูป่าออกมาวางไว้บนโขดหินบ้าง บนขอนไม้บ้าง เพื่อให้มันได้กินน้ำอย่างสะดวก พอมันคายช้องหมูป่าออกมาแล้ว นายพรานก็จะยิงหมูตัวนั้นได้ แล้วจึงค่อยไปเก็บเอาช้องหมูป่าเอามาเป็นเครื่องรางของขลังติดตัวกัน เชื่อกันว่าจะทำให้ปืนยิงไม่ออก หรือยิงไม่เข้า แต่ต้องพกติดตัวไว้ตลอด ห่างแค่คืบ แค่ศอกก็จะไม่สามารถคุ้มครองป้องกันได้....
2.เขี้ยวหมูตัน
หมูป่าเพศผู้ตัวใดมีเขี้ยวตัน ตั้งแต่โคนเขี้ยวถึงปลายเขี้ยว จะยิงไม่ออกหรือยิงไม่เข้า เมื่อมันตายด้วยความชรา ใครไปพบเข้าดึงออกจากกรามได้ ใช้เป็นเครื่องรางป้องกันศาสตราวุธต่าง ๆ ได้ หมูป่าที่มีเขี้ยวตันหาได้ยากมากเพราะเป็นหมูป่าที่หลบหนีเก่ง พรานป่าจับได้ยากมาก และแผลงศรก็ไม่เข้าเนื้อ เขี้ยวหมูตันจึงถือเป็นของวิเศษมาช้านาน เท่าที่ทราบมา เขี้ยวหมูตันที่นำมาใช้กันเป็นเขี้ยวหมูตันที่ได้จากการตายตามธรรมชาติของตัวหมูป่าเอง เขี้ยวหมูตันสามารถนำมาใช้เป็นเครื่งรางของวิเศษได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องปลุกเสก!!..
วิธีดูเขี้ยวหมูตัน นั้นคนที่เคยเห็นของแท้แล้วคงดูเป็นได้ไม่ยาก ในที่นี้ขออธิบายวิธีการดูให้เฉพาะสำหรับท่านที่ยังไม่ชำนาญนะคะ
เมื่อส่องกล้องขยายจากโคนจนถึงปลายจะมองเห็นเส้นตามขวางเป็นริ้วๆ เป็นเส้นที่แสดงถึงการงอกเพิ่มของเขี้ยวหมูตามอายุของมัน
ส่วนของเขี้ยวหมูที่ถูกใช้สัมผัสกับเหงื่อจะมีสีเปลี่ยนไป แลออกเหลือง จุดสังเกต จะเห็นเสมือนเป็นชั้นบางๆเคลือบผิวอยู่(คล้ายกับว่าถูกเคลือบด้วยเทียนไข)
ตรงส่วนปลายของเขี้ยวจะมีส่วนที่เป็นมุมคมเพื่อการบดเคี้ยวอาหาร…
ถ้าเขี้ยวหมูถักเงินไว้ ให้สังเกตความเก่าของเงินที่ใช้ถักว่ามีความเก่าเหมาะสมกับสภาพการใช้งานของเขี้ยวหมูหรือไม่
จุดตาย เขี้ยวหมูตันจะมีเนื้อในเต็มตั้งแต่โคนจนถึงปลาย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามบริเวณใกล้กับโคนของเขี้ยวจะต้องมีโพรงอากาศอยู่หน่อยหนึ่งเสมอ เพราะเป็นโพรงประสาทฟันของหมู แล้วค่อยเป็นโคนตันแบบที่เราเห็นกัน โดยโพรงอากาศนี้จะมีขนาดใหญ่ขึ้นตามอายุของหมูตัวนั้นๆ ดังนั้นถ้าเห็นเขี้ยวหมูเป็นรูหน่อยหนึ่งแล้วค่อยมีเนื้อข้างใน อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าเขี้ยวกลวงนะครับ ไม่งั้นท่านอาจพลาดของดีไปอย่างน่าเสียดาย....ส่วนวิธีดูเนื้อในเขี้ยวว่าเป็นเนื้อฟันหรือเนื้อเก๊ ทำได้โดยพิจารณาสีสันว่าออกไปทางกระดูกแห้งปนแดงๆหรือไม่ สีภายในเขี้ยวจะต่างจากเนื้อฟันภายนอกเพราะเป็นสารคนละชนิดกัน เหมือนฟันของคนเราแต่ละชั้นก็จะแตกต่างกันค่ะ หรือจะลองเคาะๆดู ถ้าเป็นปูนปลาสเตอร์ก็จะหลุดมาเอง ส่วนถ้าเป็นเรซิ่นมองดูก็รู้ว่าเก๊แล้วค่ะ.... สิ่งที่เราต้องระวังก็คือ เขี้ยวหมูตันที่มีรอยแตกตรงโคนแล้วข้างในตันไปเลยทั้งแท่ง อย่างนี้เก๊แน่นอนนะคะ.... สำหรับในตอนต่อไปผู้เขียนจะนำท่านผู้ชมไปพบกับเรื่องราว..”เครื่องรางอาถรรพ์ ของขลังของแปลกประจำชาติไทย “ (เดือยงูเหลือม-ตับเหล็ก-และเคราแดง)ค่ะ ฝากติดตามชมกันด้วยนะคะ
ขอขอบคุณท่านผู้เป็นเจ้าของเครดิตภาพที่ผู้เขียนได้นำมาจาก (อินเตอร์เน็ต)เพื่อใช้ในการแสดงประกอบเนื้อหาสาระข้อมูลนี้ค่ะ..และขอขอบคุณแหล่งที่มาของภาพและข้อมูลจาก:วิกิพีเดีย,
ไสยศาสตร์,และข้อมูลเพิ่มเติม(บางส่วน)จาก :อินเตอร์เน็ตค่ะ
เรียบเรียงโดย:โชติกา พิรักษา และ ศศิภา ศรีจันทร์ ตันสิทธิ์






