ถ้าแบบนี้ก็ชัดใครผิด!!นายตร.ใหญ่ผ่านชีวิตนร.นายร้อยเล่าประสบการณ์ตรง "ธำรงวินัย" ไม่ใช่พร่ำเพรื่อคิดจะทำย้ำหลักสำคัญข้อห้ามแบบ"น้องเมย" เจอ

ถ้าแบบนี้ก็ชัดใครผิด!!นายตร.ใหญ่ผ่านชีวิตนร.นายร้อยเล่าประสบการณ์ตรง "ธำรงวินัย" ไม่ใช่พร่ำเพรื่อคิดจะทำย้ำหลักสำคัญข้อห้ามแบบ"น้องเมย" เจอ

สืบเนื่องจากประเด็นร้อนที่คนในสังคมให้ความสนใจอย่างยิ่ง กรณีนายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย อายุ 18 ปี นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตในวันที่ 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยระบุว่าสาเหตุการตายมาจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันเท่านั้น โดยในเวลาต่อมา นายพิเชษฐ และนางสุกัลยา ตัญกาญจน์ (พ่อ-แม่น้องเมย) สงสัยการตายในครั้งนี้จึงได้ทำการตรวจสอบและพบว่าอวัยวะในร่างกายของลูกชายหายไปบางส่วน จนกลายเป็นประเด็นที่หลายคนสงสัยต้องการหาคำตอบการตายในครั้งนี้ว่าเกิดจากอะไร

ถ้าแบบนี้ก็ชัดใครผิด!!นายตร.ใหญ่ผ่านชีวิตนร.นายร้อยเล่าประสบการณ์ตรง \"ธำรงวินัย\" ไม่ใช่พร่ำเพรื่อคิดจะทำย้ำหลักสำคัญข้อห้ามแบบ\"น้องเมย\" เจอ

ทั้งนี้ น.ส.สุพิชชา ตัญกาญจน์ (พี่สาวน้องเมย) ได้เปิดเผยว่า เช้าวันที่ 16 ต.ค. น้องชายตนถูกธำรงวินัย แต่ตนไม่ทราบว่าน้องได้ไปทำผิดอะไร ส่วนกรณีเมื่อวันที่ 23 ส.ค. น้องชายถูกธำรงวินัย จากรุ่นพี่ชั้นปีที่ 3 สาเหตุเพราะน้องชายกับเพื่อนอีกคนเดินไปในเส้นทางที่รุ่นพี่ห้ามเดิน ทำให้ถูกลงโทษให้ใช้หัวปักลงพื้นยกขึ้นและหมุนนานเป็นชั่วโมงจนหมดสติต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล

ถ้าแบบนี้ก็ชัดใครผิด!!นายตร.ใหญ่ผ่านชีวิตนร.นายร้อยเล่าประสบการณ์ตรง \"ธำรงวินัย\" ไม่ใช่พร่ำเพรื่อคิดจะทำย้ำหลักสำคัญข้อห้ามแบบ\"น้องเมย\" เจอ

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำให้เกิดเป็นประเด็นวิจารณ์กันในสังคมว่า การธำรงวินัย การซ่อมนั้นมีความจำเป็นต้องใช้ความรุนแรง ความโหดมากน้อยเพียงใดถึงจะเหมาะสม ล่าสุด พ.ต.อ.ภาคภูมิ สุนทรศร ได้โพสต์ข้อความอธิบายเรื่องนี้เอาไว้ว่า...สมัยเป็นนักเรียน จวบจนได้มาทำหน้าที่ผู้บังคับกองร้อยนักเรียนสาย ตชด. การถูกจวกหรือการซ่อม จะทำแค่เพียง ดันพื้น พุ่งเท้า วิ่ง กลิ้ง หมอบคลาน ม้วนหน้า ม้วนหลัง กระโดดตบเท่านั้น แม้แต่ท่าสก็อตจั๊มก็ใช้ลงโทษไม่มากเพราะจะทำให้หัวเข่าเสียในอนาคต โดยเฉพาะนักเรียนใหม่ ท่าพิสดารจะไม่กระทำเด็ดขาด และห้ามแตะต้องตัว

คนที่ไม่เกียวข้อง ห้ามซ่อมนักเรียน ยกเว้นผู้รับการฝึกกระทำความผิดซึ่งหน้า นั่นคือ บรรทัดฐานของการธำรงวินัย ที่อยู่ในขอบเขต ปัญหา คือ รุ่นพี่ที่ไม่เกี่ยวข้องในการปกครองมักรวมตัวกันเป็นกองโจร แอบจวกรุ่นน้อง และมักนำท่าพิสดารมาใช้ อันเกินจุดที่ร่างกายจะรับไหว ผู้ที่ถูกซ่อมจะไม่มีใครออกมาโวยวาย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ปิดปากเงียบ ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวของนักเรียนเตรียมทหารที่เสียชีวิต ทุกคนที่เข้ามาล้วนเต็มใจตายในสนามรบหรือหลักสูตรพิเศษ ไม่ใช่ตายจากความเมามันของคนบางคน ผู้หลักผู้ใหญ่ก็ควรพูดให้ถูกกาลเทศะด้วย

ขณะที่เฟซบุ๊ก Kanok Ratwongsakul ได้แชร์ข้อความและภาพเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยระบุว่า...ขอแชร์บทสัมภาษณ์คุณพ่อของน้องเมย คืนนั้น..จากปากลูกชายผม ... เพราะวันนี้เห็นความเคลื่อนไหวของข่าวเรื่องนี้ 3 เหตุการณ์แล้ว มันสะท้อนใจจริงๆ 1. ผอ.พยาธิวิทยา โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า บอกว่า ในทางกฎหมายอนุญาตให้เก็บอวัยวะได้อยู่แล้ว โดยไม่ต้องขอความยินยอม ..แต่เราลืมนึกถึงจิตใจญาติ.. ตอบได้มืออาชีพมาก เก็บอวัยวะภายในเขาไปเกือบหมด โดยไม่บอกพ่อแม่เขาเลย! 2. นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์นักข่าวปกป้อง พล.อ.ประวิตร ที่แถลงข่าวจนถูกกระหน่ำด่าเมื่อวานนี้ ว่า คุณจะว่ารองนายกรัฐมนตรีผมใช่ไหม ท่านก็บอกแล้ว ว่าไม่ได้ตั้งใจตอบแบบนั้น บางทีสื่อก็ถามให้อารมณ์เสีย เอ่อ..กลายเป็นนักข่าวเป็นต้นเหตุ!

3. เห็นภาพคุณแม่น้องเมย ร้องไห้ตลอดเวลาขณะรับกล่องโฟมบรรจุหัวใจของลูก คุณแม่เปิดกล่องพูดกับลูกว่า หัวใจแม่กับหัวใจลูกเป็นหัวใจดวงเดียวกัน น้องเมยมักจะท่องบทเพลงความฝันอันสูงสุด ให้แม่ฟังเสมอ.จะแน่วแน่แก้ไข ในสิ่งผิด จะรักชาติจนชีวิต เป็นผุยผง..วันนี้ แม่อยากบอกน้องเมยว่า ลูกทำหน้าที่ของตนเองได้ดีที่สุดแล้ว หัวใจของคนเป็นแม่ ที่ต้องมาเห็นชิ้นส่วนอวัยวะของลูก แบบนี้ ให้คิดเองนะคะว่า..แม่รู้สึกอย่างไรบ้าง...

ลองอ่านบทสัมภาษณ์คุณพ่อนะครับ ยาวหน่อย แต่อยากให้อ่าน มันเรียกกันให้คนภายนอกได้ยินซะโก้เลย ธำรงวินัย แต่เรียกกันเองภายในได้เถื่อนมากว่า แดกอ่านแล้วจะรู้สึกเลยว่า เด็กที่มีความฝันอันสูงสุด..อยากเป็นทหาร ต้องมาจบชีวิตในสถาบันที่บ่มเพาะนายทหาร..อย่างมีเงื่อนงำ ทำให้คิดถึงประโยคสุดท้ายที่น้องเมยบอกพ่อว่า อย่าไว้ใจผู้พัน ทำไมถึงสั่งเสียแบบนี้...

.

คืนนั้น..จากปากลูกชายผม ...ลูกผมถูกทำโทษในห้องน้ำของนายทหาร เวลาประมาณ 4 ทุ่ม

เขาลงโทษลูกผม..ด้วยการเอาหัวปักไปที่พื้น เอาหัวลงไปพื้นมันมีเหล็กนะครับ เป็นเหล็กที่ท่อระบายน้ำ แล้วให้สลับขา เสียงจากพ่อ ...น้องเมย..!!

นาย พิเชษฐ ตัญกาญจน์ บิดา นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17ตุลาคมที่ผ่านมา ให้สัมภาษณ์ ไทยพีบีเอส  

น้องมอบตัววันแรก เดือนเมษายน เรียนมาได้เทอมนึงประมาณ 5 -6 เดือน เริ่มมีปัญหา 23 สิงหาคม 2560 ... กลางคืน ไม่รู้ข่าว แต่ผมมาทราบเช้า 24 สิงหาฯ จากเพื่อนที่อยู่ รพ.จปร. แจ้งว่า ลูกชาย ผมอยู่ รพ.จปร. ตีรถขึ้นไปดู เห็นอาการฟื้นแต่ไม่ดี มีสายน้ำเกลือ ผมนอนกับเขาเฝ้าลูกที่จปร. 1 คืน คุยกันหลายอย่าง คำแรกที่ผมถึง จปร. ถามลูกว่า ออกไหมลูก คำตอบที่เขาตอบ พ่อครับ ผมเดินมาไกลแล้ว ผมดีใจที่เขาทำตามที่เขาฝัน คุยอะไรกันต่างๆ นานา ถามหลายสิ่งว่าเกิดอะไรกับเขา อะไร ยังไง เขาก็เล่า คืนวันที่ 23 สิงหาคม ที่เขาถูกทำโทษ เพราะผมเห็นแขนที่มีรอยปากกาลบคำผิด (ลิขวิด) ปักเป็นรอยรูด ลากมาเลย ผมรู้แล้วว่า อาการแบบนี้ต้องเป็นอาการคนโกรธมาก เขาไม่เคยร้องไห้ แต่ครั้งนี้ร้องไห้ บอกผมว่า พ่อครับ ด้วยความที่เป็นรุ่นพี่กับรุ่นน้อง ผมทำอะไรเขาไม่ได้

ผมบอกลูกไปว่าดีแล้ว เพราะเราตั้งใจมาเรียน คุยกันเรื่อยๆ จนค่ำมืด ถามเขาว่า เจ็บตรงไหนไหม เขาบอก พ่อครับ เจ็บที่หัว ... ไอ้วันแรกที่หัว ท่าที่ปักลงไปที่รุ่นพี่ลงโทษคืนวันที่ 23 สิงหาคม มันยังไม่ช้ำเท่าไหร่ แต่ผมรู้ว่าเขาเจ็บ เพราะโดนปั๊ปแล้วเขาเจ็บ แต่พอกลับมาจาก รพ.จปร. เมื่อ 25 สิงหาคม มาอยู่ที่กองพยาบาลของโรงเรียนเตรียมทหาร อาการเริ่มเห็น ผมมองหัวเขา มันจะเป็นน้ำเหลืองออก เจ็บมาก อาการเริ่มบวมแล้ว ผมถามว่า เป็นอย่างไร ไหนตั้งใจเล่าให้พ่อฟัง เขาบอกว่า เขาโดนรุ่นพี่ลงโทษมา เมื่อ 23 สิงหาคม เขาเดินมากับพี่อีกหนึ่งคน ที่เป็นหัวหน้านักเรียน และแยกทางกันไป ลูกบอกผมว่า เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่นักเรียนใหม่ ห้ามเดิน แต่เขาไม่ได้ใหม่แล้ว เพราะมีแหวนรุ่น รับแหวนแล้ว เดินได้ แต่จริงๆ เส้นทางตรงนี้ ผมถามทางโรงเรียนว่า ใครกำหนด.. ทางโรงเรียนแจ้งว่า โรงเรียนไม่ได้กำหนด นักเรียนกำหนดขึ้นเอง

ผมถามผู้พันที่โรงเรียนว่า แบบนี้ใครผิด ... เขาบอก ลูกคุณไม่ผิด อันนี้คุยกัน วันที่ 25 สิงหาคม ที่นำลูกกลับจาก รพ.จปร. มากองพยาบาล ผมลงไปพบกับผู้พันที่ในกองพัน 2 สอบถามเรื่องทั้งหมดเป็นอย่างไร อยากรู้ว่าลูกผมผิดเรื่องอะไร คืนนั้นจากปากลูกชายผม ...ลูกผมถูกทำโทษในห้องน้ำของนายทหาร ซึ่งเป็นเวลาประมาณ 4 ทุ่ม รอบแรก 2 ทุ่มลงโทษไปครั้งแล้ว แล้วรุ่นพี่คนนั้นถามว่า ได้อ่านหนังสือหรือยัง ถ้ายัง ไปอ่านหนังสือก่อน แล้วค่อยกลับมา แดก

หลังจาก 4 ทุ่ม..เขาอ่านหนังสือเสร็จ มาพบรุ่นพี่ ก็ได้ไปธำรงวินัยในห้องน้ำ ผมถามผู้บังคับบัญชาเขา...บอกว่า ลูกผมไม่ผิด ท่าที่รุ่นพี่สั่ง ... เขาผิด ในห้องน้ำของนายทหาร .. ก็ผิด แล้วเหตุแบบนี้เริ่มต้น ลูกผมไม่ผิด แต่เด็กคนนั้นลงโทษลูกผมหาว่าผิด เป็นรุ่นพี่ปี 3 ผมคิดว่าไม่น่ามีเรื่องอะไรกันมา เพราะมีรูป.. มีรูปถ่ายไปถ่ายตอนรับแหวนด้วยกัน ผู้พันได้บอกว่า ลงโทษเด็กคนนั้นแล้ว ด้วยการปลดออกจากคอมแมน และตัดแต้ม 30 แต้ม ผมยังถามว่า ผู้พันไม่ลงโทษแบบนั้นได้ไหม เพราะเขาอาจเสียโอกาส หลังจากนั้น ผมถามผู้พันว่า แล้วมันจะจบไหม เรื่องในกองพัน เขาบอกว่า ต้องจบครับ.. ต้องจบ

เขาลงโทษยังไง.. เขาลงโทษลูกผม ด้วยท่าเอาแคงการู.. ด้วยการเอาหัวปักไปที่พื้น พื้นที่หัวลงไปเป็นเหล็กนะครับ เป็นเหล็กที่ท่อระบายน้ำ แล้วให้สลับขา จริงๆ ผมว่าไม่เกิน 15 นาที คนธรรมดาเสร็จ เพราะเลือดมันลงไปอยู่ที่หัว ผมถามคุณหมอ..ที่กองพยาบาล แจ้งว่า เลือดที่ลงไปอยู่ที่หัวนานๆ ความดันมันจะสูง สูงบ้างต่ำบ้าง สูงบ้างต่ำบ้าง แล้วจะหมดสติไปเอง ผมไปพบคุณหมอที่กองพยาบาล โรงเรียนเตรียมทหาร ถามว่า ลูกผมแกล้งสลบได้ไหม ... หมอบอกว่า แกล้งหลับลึกคงแกล้งได้... แต่แกล้งแบบไม่มีชีพจรเลย ..แกล้งไม่ได้ ผมถึง อ๋ออออ.. รู้ว่า ลูกผมถูกกระทำ ในวันนั้นจริงๆ ผมคิดว่า ผมจะแจ้งความ ...แต่เพราะคิดว่า ลูกเขาบ้าง ลูกเราบ้าง ผมเลยไม่แจ้งความ แต่ผลจากเหตุการณ์ 23 สิงหาคม ลูกผมอยู่กองพยาบาลตลอดเลย ไม่ทราบว่าเพราะอะไร เด็กทุกคนไม่กล้าเอ่ย ไม่กล้าพูดว่า โดนอะไร แต่มีบางคนที่เห็นแล้วบอกว่า ลูกผมโดนอะไร คือ การโดนเดี่ยว... คำว่าโดนเดี่ยว คือ โดนลงโทษคนเดียว นึกออกมา เป็นลักษณะนี้มาตลอด

ต้นเดือนกันยายน 2560 ลูกชายมาดูงานภาคตะวันออก จากนั้นปิดเทอม ..มาพักที่บ้าน 1 สัปดาห์... แล้วกลับเข้าโรงเรียน และกลับไปเจอลักษณะเดิมๆ จนเมื่อก่อนวันที่ 10 ตุลาคม 2560 ผมถามเขาว่า..ทำไมอยู่แต่กองพยาบาล เพราะสภาพภายนอกเขาก็ยังดี แต่เพื่อนเขาบอกว่า เจอ น้องเมย โดนเดี่ยว แบบนั้น แบบนี้ แต่ทางผู้พันบอกว่า ไม่มีอะไร แต่ทำไมลูกผมต้องไปเจออะไรอีก ถามลูก...ลูกบอก ไม่เป็นอะไร ถามหนักๆ ก็ไม่บอก เมื่อถาม.. ลูกก็บอกว่า.. เป็นความลับทางราชการ ผมไม่อยากพูด จนมาถึงวันที่ 10 ตุลาคม 2560 เขาโทรมาแล้วร้องไห้ แจ้งว่า เขาตกบันไดอีก แต่ตกจริง หรือไม่จริง ผมก็ไม่แน่ใจ บอกเขาว่า 11 ตุลาคม จะขึ้นไปดูลูก

วันที่ 12 ..โรงเรียนปล่อยกลับ ประมาณ 5 โมง ผมรออยู่หน้าสโมสร รอรับเขากลับบ้าน

วันที่ 13 .. พาลูกไปโรงพยาบาล เพราะอยากรู้ว่าการล้มของเขาเป็นอย่างไร เอ็กซเรย์ดู หมอแจ้งว่า ไม่มีอะไร

วันที่ 14 .. อยู่บ้าน 1 วัน

วันที่ 15 .. ส่งลูกที่โรงเรียน ...ส่วนผมกลับบ้าน

วันที่ 16 ช่วงเช้า ... ผมได้รับข่าวจากเด็กนักเรียนว่า ลูกผมขึ้นไปอยู่ที่กองพยาบาลอีกแล้ว

ผมถามว่า สาเหตุอะไร ... เขาบอกว่า ถูกเพื่อนเดี่ยว (ลงโทษคนเดียว) ที่โรงเรียนของโรงอาหาร จนลูกผมเขาสลบ... แล้วถูกหามกันมาที่กองพยาบาล เพื่อมาให้น้ำเกลืออีก ผมจึงรู้จากเจ้าหน้าที่คนหนึ่งว่า ลูกผมได้กลับมาให้น้ำเกลือวันที่ 16 อีกแล้ว หลังจากวันที่ 16 ผมคิดว่าทำไมเป็นลักษณะนั้น ลงไปกองพันก็ไม่เจออะไร .... วันที่ 15 ผมไม่รู้ว่าเขาเจออะไร ไม่มีใครมายืนยัน และกล้ารับว่าเกิดอะไรขึ้น... แม้แต่ผู้พัน บอกว่า จะพาเด็กที่ลงโทษมาคุยกับผม แต่ผมบอกว่า ถ้าทำแล้วไม่สบาย ไม่ต้องมาหรอก...

วันที่ 17 ตุลาคม 2560 .. น้องเมย ... เสียชีวิต ...วันนั้น เวลาเที่ยงกว่าๆ น้องโทรคุยกับแม่ นักข่าวลองไปถามแม่ดูว่าคุยอะไรกับลูก บ่าย 3 กว่า ผมคุยกับลูก โดยแฟนผมส่งโทรศัพท์มาให้ หลังจากที่แฟนได้คุยกับลูก แต่พอยื่นมาถึงผม ... ลูกคุยกับผม 3 คำ .. ..พ่อครับ สตางค์หมดแล้ว.. แล้วได้ยินเสียงสัญญาณโทรศัพท์ดัง ตื้ดๆๆๆ ตัดไป มารู้อีกที ราวๆ 5 โมงเย็น ทางกองพยาบาลโทรมาบอกว่า ลูกผมฟุบลงไป.. นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมคิดตั้งแต่วันที่ 15-17 (ตุลาคม 2560) ว่าลูกผมเจอกับอะไร ที่เขาเสียชีวิต!

แล้วทางกองพยาบาลฯ แจ้งแฟนผมว่า ให้รีบไปที่ รพ.จปร. ซึ่งห่างจากโรงเรียนเตรียมทหาร 5 กิโลฯ ผมไปถึงประมาณ 2 ทุ่ม... เห็นสภาพในห้องฉุกเฉิน กำลังปั๊มหัวใจลูกผม .. หลังจากเสียชีวิตแล้ว ลูกสาวผมไปขอรายละเอียดกับ รพ.จปร. และ กองพยาบาล ซึ่งให้เหตุผลไม่ตรงกัน แต่ รพ.จปร. มีเอกสารยืนยันว่า มาถึง รพ. น้องเมย ไม่มีชีพจรแล้ว ... และแจ้งว่า ลูกผมเสียชีวิต .... หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ....

แต่เพราะอะไร..? นี่เป็นสาเหตุที่ผมคลางแคลงใจมาตลอด..

ถ้าแบบนี้ก็ชัดใครผิด!!นายตร.ใหญ่ผ่านชีวิตนร.นายร้อยเล่าประสบการณ์ตรง \"ธำรงวินัย\" ไม่ใช่พร่ำเพรื่อคิดจะทำย้ำหลักสำคัญข้อห้ามแบบ\"น้องเมย\" เจอ

 

ขอบคุณที่มา : Kanok Ratwongsakul