ยอมรับแล้วว่าโกหกงานนี้ทรัมป์ถึงกับตะลึง

ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่เพจความจริง และ www.tnews.co.th

พึ่งเป็นประเด็นกันไปเมื่อวันที่1 ธันวาคม ที่ผ่านมา กรณีทรัมป์รีทวิตวิดิโอต่อต้านมุสลิมของกลุ่มขวาจัดที่มีความรุนแรงในอังกฤษ ล่าสุดวันนี้อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงสหรัฐฯ นายไมเคิล ฟลินน์ ออกมายอมรับต่อศาลในเรื่องให้การเท็จต่อ FBI กรณีการไปพบทูตรัสเซีย เรียกได้ว่ามีเรื่องเข้ามาให้ทรัมป์ต้องปวดหัวกันรายวันเลยทีเดียว

ยอมรับแล้วว่าโกหกงานนี้ทรัมป์ถึงกับตะลึง

เมื่อวานนี้ (2 ธ.ต.60) อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา อย่างนายไมเคิล ฟลินน์ ได้ออกมามอบตัวและยอมรับว่าในการสืบสวนคดีรัฐเซียแทรกแซงการเลือกตั้งของสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้วนั้น ตนเองได้รับคำสั่งตรงจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงให้โยกย้ายทีมงานของทรัมป์ ร่วมถึงยังได้มีการพูดคุยกับทางเอกอัครราชทูตรัชเซียแบบลับ ๆ มาก่อน นอกจากนี้นายฟลินน์ยังยอมรับอีกว่าเมื่อปลายเดือนธันวาในปีที่แล้ว ตนเองไม่ได้บอกทูตรัสเซียให้ระงับการตอบโต้คว่ำบาตรรัสเซียโดยรัฐบาลชุดเก่าอย่างโอบามา เพื่อไม่ให้สถานการณ์แย่ลง และไม่ได้บอกให้ทูตรัสเซียถ่วงเวลาการลงมติของ UNSC (คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ) รวมไปถึงกรณีรัฐบาลตุรกีซึ่งตนเองก็ได้เข้าไปมีส่วนพัวพันและให้การเท็จในโครงการที่บริษัทด้านข่าวกรองที่ตนรับผิดชอบอยู่เช่นกันซึ่งนายฟลินน์ยังประกาศอีกว่างานนี้ตนจะให้ความร่วมมือกับนายโรเบิร์ต มูลเลอร์ อัยการพิเศษในการสอบสวนกรณีที่รัสเซียเข้าไปแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐฯ อย่างเต็มที่ 

ยอมรับแล้วว่าโกหกงานนี้ทรัมป์ถึงกับตะลึง

แน่นอนว่าการที่อดีตที่ปรึกษาออกมาให้ต่อศาลที่กรุงวอชินตันในครั้งนี้คงไม่เป็นผลดีต่อตัวทรัมป์แน่ ล่าสุดเกิดข้อสงสัยว่าทรัมป์และหัวหน้าที่ปรึกษาด้านนโยบายตะวันออกกลางซึ่งมีสถานะเป็นลูกเขยของเขาเองดก็อาจมีส่วนเกี่ยวข้องและอาจมีเจตนาขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้วย แต่ทางเจ้าหน้าที่ FBI ให้สัมภาษณ์ว่ายังคงไม่ชี้ว่าว่าเจเรด คุชเนอร์ หัวหน้าที่ปรึกษาด้านนโยบายตะวันออกกลางเป็นเป้าหมายหลักในการสืบสวน ในขณะที่เมื่อสัปดาห์ก่อนได้มีการเปิดเผยข้อมูลบางส่วนออกมาว่าที่ปรึกษารายหนึ่งของทรัมป์ที่ยังปฎิบัติงานอยู่ในธรรมเนียมขาวเป็นผู้เข้าข่ายต้องสงสัยในคดีของรัฐเซีย หากแต่ก็ไม่ได้ปรากฏชื่อของคุชเชอร์แต่อย่างใด ทางด้านธรรมเนียบขาวก็ออกมาแถลงการว่า การสารภาพผิดของอดีตที่ปรึกษา ไม่ได้บ่งชี้ว่ามีคนอื่นเกี่ยวข้องกับคดีนี้ แต่นายฟลินน์ให้การว่าตนเองได้มีดารพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลของทรัมป์ทั้งก่อนและหลังการพูดคุยกับทูตรัสเซีย รวมถึงได้รับคำสั่งว่าควรทำอย่างไรเมื่อสนทนากับทูตรัสเซียทางโทรศัพท์ ซึ่งยังคงขัดแย้งกับการที่ทรัมป์เคยแถลงข่าวผ่านสื่อมวลชนว่าเหตุการณ์ดังกล่าวนายฟลินน์ได้กระทำทุกอย่างเอง รวมถึงยังฝ่าฝืนคำสั่งของตนด้วย งานนี้คงเจ้าหน้าที่คงต้องสืบสวนและหาหลักฐานมายืนยันความบริสุทธิ์ของแต่ละฝ่ายและอาจมีการตั้งข้อหาและสืบสวนผู้เกี่ยวข้องอีกหลายราย

ยอมรับแล้วว่าโกหกงานนี้ทรัมป์ถึงกับตะลึง