- 25 มิ.ย. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
จากกรณีที่มีการพบศพ น.ส.ลักษณา กำลังเก่ง หรือ “เมย์” อายุ 24 ปี ถูกฆ่าหั่นศพใส่กระสอบปุ๋ย แล้วนำไปโยนทิ้งในป่าซอยสามวา ตรงข้ามโรงงานที่นอนดาริ่ง แขวงบางชัน เขตคลองสามวา โดยตำรวจสามารถจับกุมนายธนกฤต ประกอบ หรือ “วุธ” อดีตแฟนหนุ่มได้เมื่อวานนี้ (23 มิ.ย. 61) ซึ่งผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือฆ่าหั่นศพจริง โดยจากพฤติกรรมการก่อเหตุที่โหดเหี้ยม ทำให้กระแสสังคมบางกลุ่มมองว่าคดีนี้ผู้ต้องหาควรถูกตัดสินประหารชีวิต
ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 61 นางสมศรี หาญอนันทสุข กรรมการสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน มูลนิธิเพื่อนหญิง อีกทั้งยังเป็นสมาชิกปัจจุบัน และอดีตประธานองค์กรสิทธิมนุษยชน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เปิดเผยกับทีมข่าวรายการทุบโต๊ะข่าวว่า คดีฆ่าหั่นศพที่เกิดขึ้นไม่ต่างจากคดีที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงคดีอื่น ๆ เพราะผลที่เกิดขึ้นคือเหยื่อเสียชีวิตเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างถึงคดีของ นพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ อดีตสูตินารีแพทย์ ที่ฆ่าหั่นศพภรรยาของตนเอง แล้วก็ใช้ชีวิตตามปกติอย่างแนบเนียน จนกระทั่งตำรวจสามารถจับกุมตัวได้ โดยระหว่างที่ถูกจำคุก นพ.วิสุทธิ์ ปฏิบัติตัวดีและทำประโยชน์มาโดยตลอด จนกระทั่งได้ออกจากเรือนจำ และเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ตนจึงมองว่าผู้กระทำผิดไม่ได้เป็นอาชญากรโดยกำเนิด แต่เพราะหึงหวงจึงกระทำผิด ซึ่งเป็นอารมณ์ชั่ววูบ
ตนจึงมองเรื่องนี้ด้วยหลักการเดียวกันกับคดีของ “มิก” หรือ ธีรศักดิ์ หลงจิ นักโทษที่เพิ่งถูกประหารชีวิต ประเด็นนี้จึงควรมองทั้ง 2 ฝ่าย คือฝ่ายญาติผู้กระทำผิด และญาติผู้เสียชีวิต โดยฝ่ายผู้สูญเสียต้องมีการเยียวยาทางจิตใจอย่างจริงจัง โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) อาจจะต้องมีการจัดหานักจิตวิทยาเข้าไปเยียวยา โดยหากเป็นไปได้ก็อยากให้ทั้งสองฝ่ายได้มาพูดคุยกัน
สำหรับกระแสสังคมที่มองว่าคดีนี้ต้องประหาร ตนก็อยากให้มองไปยังคดีของ นพ.วิสุทธิ์ ที่กระทำผิดแต่สำนึกผิดในภายหลัง ตนก็มองว่าน่าจะให้อภัยได้ เพราะการให้อภัยคือการเยียวยาทั้งสองฝ่าย แต่ตนก็ไม่อยากให้ผู้กระทำผิดได้ออกมาใช้ชีวิตเร็วเกินไป เพราะจะทำให้ครอบครัวของผู้เสียหายไม่มั่นใจว่าจะกลับมาทำร้ายอีกหรือไม่ โดยอยากให้มีการประเมินก่อนที่จะปล่อยตัวนักโทษออกมา และเมื่อปล่อยออกมาแล้วก็ควรมีการติดตามผลว่าผู้กระทำผิดใช้ชีวิตในสังคมเป็นอย่างไร โดยเน้นไปที่การหาวิธีการไม่เปิดโอกาสให้ผู้กระทำผิดได้กระทำผิด และหากกระทำผิดไปแล้วก็ต้องได้รับโทษ ไม่มีการลอยนวล หรือยัดเงินเพื่อไม่ให้ถูกจับ
นางสมศรี เสริมอีกว่า “ที่ผ่านมาทางแอมเนสตี้ได้มีการเคลื่อนไหวในเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด คือคนทำผิดต้องไม่ลอยนวล โดยทำงานในเรื่องของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายมากกว่าเรื่องของโทษประหารด้วยซ้ำไป อย่างเช่นรณรงค์ไม่ให้เกิดการซ้อมทรมาน จับผิดคน หรือคนหายด้วยเหตุผลทางการเมืองหรือขัดผลประโยชน์ แต่สิ่งเหล่านี้ประชาชนกลับไม่ทราบไม่เห็น เพราะไม่ได้ติดตามว่าเราทำอะไร” โดยการที่แอมเนสตี้ออกมาเคลื่อนไหวหลังจากมีการประหารชีวิตนักโทษ เป็นเพราะว่าแอมเนสตี้เองก็ช็อกที่มีการประหารชีวิตเกิดขึ้น เพราะดำเนินการเคลื่อนไหวมาโดยตลอดที่จะไม่ให้มีโทษประหาร แล้วเหลือเพียงปีเดียวเท่านั้นก็ครบ 10 ปี ที่ประเทศไทยไม่มีการประหารชีวิตในทางปฏิบัติ ซึ่งเท่ากับว่าแอมเนสตี้ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
เมื่อถามว่าแอมเนสตี้จะออกมาเคลื่อนไหวในกรณีฆ่าหั่นศพครั้งล่าสุดหรือไม่ นางสมศรี กล่าวว่า ในประเทศไทยมีเหตุอาชญากรรมเกิดขึ้นทุกอาทิตย์เพราะเราไม่มีมาตรการในการป้องกัน ซึ่งแอมเนสตี้จะรณรงค์ในภาพรวม ไม่ได้แยกเป็นคดีไป โดยจะมีการพูดคุยกับรัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่รัฐว่าจะมีมาตรการใดที่จะทำให้ไม่เกิดเหตุอาชญากรรมขึ้นเลย โดยสาเหตุที่คัดค้านโทษประหารชีวิตเพราะเรามองว่านั่นไม่ใช่ทางออก แต่ทางแก้ปัญหาที่ดีกว่าคือป้องกันไม่ให้ก่อเหตุอาชญากรรมเลยจะดีกว่าหรือไม่ ทุกคนจะได้รอด ไม่ใช่ทุกคนตายหมด
ขอบคุณ รายการทุบโต๊ะข่าว อัมรินทร์ทีวี HD34