- 02 ก.ค. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
บนโลกใบนี้นั้นมีเรื่องลี้ลับ เรื่องแปลกๆ และอาถรรพ์เกิดขึ้นมากมายมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บางเรื่องก็สามารถหาที่มาที่ไปได้ แต่บางเรื่องกลับกลายเป็นปริศนา และเป็นที่น่ากลัวจนขนลุกมาจนถึงทุกวันนี้ อย่างเช่น 10 เรื่องราวดังต่อไปนี้
10. สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า
สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (Bermuda Triangle) ชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันดี เพราะมันเป็นบริเวณดินแดนอาถรรพ์ อันเป็นที่ล่ำลือกันว่าเต็มไปด้วยความลี้ลับ มันเป็นดินแดนที่กลืนกินชีวิตมนุษย์และเรือเดินทะเลที่กลืนกินชีวิตมนุษย์และเรือเดินทะเล เครื่องบินที่โชคร้ายบังเอิญผ่านเข้าไปก็อาจหายสาบสูญไปอย่างไม่มีร่องรอยให้เห็นอีกเลย
นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1800 จนถึงปี ค.ศ.1976 มีเรือและเครื่องบินหายสาบสูญไปในบริเวณ เบอร์มิวด้าแล้วเป็นจำนวน 143 ราย รวมชีวิตมนุษย์เท่าที่ทราบแน่นอน เป็นจำนวน 2,101 คน ที่ต้องสังเวยไปในดินแดนอาถรรพณ์แห่งนี้
สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ดินแดนอาถรรพณ์ โดยแท้จริงแล้ว เป็นอาณาบริเวณกว้างใหญ่มาก เป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติกภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดปกคลุมพื้นทะเลตั้งแต่ตอนเหนือของหมู่เกาะเบอร์มิวด้าไปยังทางตอนใต้ของรัฐฟลอริดาตีวงออกไปในทะเลทางตะวันออกไปจนภึงหมู่เกาะบาฮามัส เลยไปอีกจนถึงอ่าวเม็กซิก ถ้าดูตามแผนที่จะครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 380,000 ตารางไมล์ทะเล ซึ่งถ้าดูกันจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่พื้นที่เป็นรูปสามเหลี่ยมเหมือนกับชื่อของมันเลย ไม่ทราบว่าชื่อ "สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า" นี้ได้มาอย่างไร?
9. โมอาย ยักษ์แห่งเกาะอีสเตอร์
เกาะอีสเตอร์ เป็นชื่อของเกาะที่คนจำนวนมากน่าจะเคยได้ยินเรื่องราวของมันผ่านหูมาบ้าง และก็คาดว่าคนเหล่านี้คงจะยังคงสงสัยถึงความลึกลับของชื่อประหลาดๆแห่งนี้กันบ้างละ ว่ามันคืออะไรกันแน่ นอกเหนือจากนี้ยังมีรูปสลักหน้าใหญ่อันแสนลึกลับที่วางเรียงรายกันเป็นแถวบนแถบชายหาด ที่คนส่วนใหญ่ขนานนามกันว่า "โมอาย" อีกด้วย
สถานที่ตั้งของเกาะอีสเตอร์ อยู่ห่างจากแหล่งชุมชนตาฮิติและชิลีราว 2,000 ไมล์ หากพิจารณาในแผนที่โลกก็จะพบว่า เกาะอีสเตอร์เป็นเพียงเกาะเล็กๆที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางมหาสมุทร ส่วนสิ่งปลูกสร้างที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ก็คือ แท่งหินขนาดยักษ์ที่แกะสลักเป็นรูปหน้าคน หรือที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อว่า "โมอาย" เป็นหินรูปปั้นที่มีรูปร่างคล้ายคน โดยรูปปั้นนี้จะมีส่วนศีรษะที่ใหญ่ชัดเจน โมอายที่พบบนเกาะนี้มีมากกว่า 600 ตัว และกระจัดกระจายอยู่ทั่วเกาะอีสเตอร์ ภายในอุทยานแห่งชาติลาปานุย ประเทศชิลี จากการสำรวจ พบว่าโมอายเกือบทั้งหมดถูกแกะสลักมาจากหินก้อนเดียวกัน แต่อาจมีบางตัวจะมีลักษณะที่ต่างออกไปเล็กน้อย กล่าวคือมี Pukau หรือหมวกวางอยู่บนศีรษะ โมอายเกือบทุกก้อนผลิตมาจากเหมืองหินที่ราโน ราราคู (Rano Raraku) ซึ่งที่นั่นเป็นสถานที่แกะสลักโมอาย และพบว่ายังมีโมอายกว่า 400 ตัว ทั้ยังอยู่ในกระบวนการแกะสลัก
ปัจจุบัน การขนย้ายโมอายที่หนักและใหญ่เช่นนี้ ยังคงเป็นความลับที่ยังไม่ทราบที่มาอย่างแน่ชัด แม้ว่าจะมีนักวิชาการหลายคนพยายามขุดค้นเพื่อตำนานของชาวเกาะเพื่อสืบหาความเป็นมาเป็นไปของโมอาย แต่ก็ไม่พบความคืบหน้าสักเท่าไรนัก เมื่อนำคำถามนี้ไปถามชาวเกาะวัชราที่ยังคงมีความทรงจำเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเกาะ ก็กลับได้รับคำตอบอย่างน่าแปลกใจว่า "มันเดินกันลงมาเอง" เพราะคงไม่มีใครเชื่อว่ารูปสลักขนาดใหญ่มหึมาขนาดนี้ จะถูกชาวบ้านใช้แรงงานลากขนย้ายลงมาด้วยตนเอง และไม่เพียงแต่วิธีการขนย้ายเท่านั้นที่ยังเป็นปริศนา แต่การแกะสลักของชาวโพลิเนเชี่ยนที่สร้างโมอายขึ้นมานี้ ก็ยังไม่ได้รับคำตอบชัดเจนว่าพวกเขาใช้เครื่องมืออะไรในการสรรค์สร้างมันขึ้นมา
8. สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนสส์
เนสซี หรือ สัตว์ประหลาดล็อกเนสส์ เป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งที่ยังเชื่อว่ายังอาศัยอยู่ในทะเลสาบเนสส์หรือล็อกเนสส์ ใน สกอตแลนด์ สหราชอาณาจักร เชื่อกันว่า เนสซี เป็นสัตว์เลื่อยคลานในทะเลขนาดใหญ่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์เช่นเดี่ยวกับไดโนเสาร์โดยมีทฤษฎีว่าสัตว์เลื้อยคลานพวกนี้เดิมจะอาศัยอยู่ทะเลในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งทะเลสาบเนสส์ยังคงเชื่อมต่อกับทะเล ต่อมาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ในยุคน้ำแข็ง ทำให้ทะเลสาบเนสส์กำเนิดขึ้นมาและตัดขาดกับทะเลโดยสิ้นเชิง แต่ทว่าสัตว์เหล่านี้ยังติดอยู่ในทะเลสาบโดยไม่ไปไหน เพราะไม่มีสิ่งใดมารบกวนประกอบกับมีอาหารให้กินมากมาย ขณะที่สัตว์จำพวกเดียวกันที่อื่นได้สูญพันธุ์ไปหมด
มีเรื่องราวเล่าว่า ใน ปี ค.ศ. 1993 มีการตัดถนนทะเลสาบเนสส์ จึงมีผู้พบเห็นเจ้า เนสซี มากขึ้น มีคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งขณะขับรถผ่านทะเลสาบแห่งนั้น ภรรยาก็ได้เห็นไรบางอย่างขนาดใหญ่ในน้ำจึงบอกให้สามีหยุดรถ และทั้งคุ่ก็ลงไปดู แต่ปรากฏว่าสิ่งนั้นหายไปแล้ว เรื่องราวนี้ได้มีปรากฏลงในหนังสือพิมพ์ และเริ่มใช้คำว่าสัตว์ประหลาดขึ้นมาครั้งแรก และหลังจากนั้นมา ก็มีผู้พบเห็นมากมายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และหลังจากนั้นมีผู้คนนั้นถ่ายภาพ เจ้าเนสซี มากมายทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวเป็นกระแสใหญ่โตว่า เจ้าเนสซี นั้นคงมีอยู่จริงแต่แน่นอนว่าทุกอย่างนั้นก็ต้องมีการพิสูจน์ โดยภาพที่ว่าเล่านั้น ส่วนใญ่เหนเป็นเพียงแค่เงาตะคุ่มเท่านั้นและไม่สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัดว่าคือ เนสซี
เรื่องราวของเนสซีก็ยังเป็นเรื่องลึกลับและเป็นที่สนใจของคนทั้งโลก มีผู้คนไปสำรวจละศึกษากันมากมายเพื่อจะพิสูจน์ว่า เจ้า เนสซี นั้นยังคงมีหลงเหลือจริงอยู่หรือไม่ แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถหาหลักฐานมายืนยันได้มากพอที่จะสรุปว่าเจ้าสัตว์ประหลาดล็อกเนสส์นั้นยังคงมีอยู่จริง เรื่องราวเกี่ยวกับเนสซีนั้นมีผู้ที่เชื่อและไม่เชื่อ โดยผู้ที่เชื่อว่าเจ้าเนสซีมีอยู่จริงนั้นเชื่อว่า เนสซี เป็นไดโนเสาร์ที่ยังคงเหลืออยู่ในทะลสาปล็อกเนสส์ ส่วนพวกที่ไม่เชื่อนั้นคิดว่าทุกสิ่งทั้งหดมเป็นเพียงการสร้างชื่อกับทะเลสาบล็อกเนสส์โดยบางรูปเชื่อว่ามันคือหางของตัวนาคที่กำลังดำน้ำหรือเป็นแค่ขอนไม้หรือวัสดุต่างๆที่ลอยอยู่ในทะเลสาบ อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของ เนสซี ก็สร้างรายได้ให้กับรัฐบาลสกอตแลนด์และชุมชนใกล้เคียงเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวไปสำรวจและพิสูจน์มากมาย เรื่องราวนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องราวที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้จริงว่าเจ้าสัตว์ประหลาดล็อกเนสส์นั้นมีอยู่จริงหรือไม่หรือทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องราวที่มโนขึ้นมาเอง
7. GEF ผีพังพอน
GEF หมายถึงการพูดคุยหรือการติดต่อสื่อสารกับผีพังพอน(สัตว์ลึกลับ, ผี หรือเรื่องหลอกลวง)ได้ โดยรายงานนี้มาจากครอบครัวที่อยู่อาศัยในหมู่บ้านดาลบีที่เกาะแมน(Isle of Man) ในเดือนกันยายน ครอบครัวเออร์วิง—ที่ประกอบด้วยเจมส์ มากาเร็ต และลูกสาว Voirrey (อายุ 13 ปี) อ้างว่าได้ยินเสียงข่วนประหลาด ซึ่งเป็นเสียงกรอบแกรบหลังบ้านสวนของพวกเขาที่พุ่มไม้และด้านหลังโรงนาที่ทำด้วยไม้ของพวกเขา ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าเป็นหนู หากแต่เมื่อเห็นก็พบว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อนและมันทำท่าทางเหมือนจะคาย หรือคุ้ยเขี่ย ชอบคำรามเหมือนสุนัข และกลั้นคอเหมือนทารก นอกจากนี้มันยังสามารถพูดเป็นภาษามนุษย์ได้อีกด้วย!! โดยมันแนะนำว่าตนเองเป็นพังพอน ชื่อ GEF อ้างว่าเกิดที่นิวเดลี อินเดีย ในปี 1852 โดย Voirrey เป็นบุคคลเดียวที่เห็นเจ้าพังพอนนี้ชัดที่สุด(และติดต่อกับมันสนิทที่สุด) โดยมันมีขนาดเล็กเท่าหนู มีขนสีเหลือง และหางเป็นพวงขนาดใหญ่(ความจริงพังพอนอินเดียมีขนาดใหญ่กว่าหนูและไม่มีหางเป็นพวง)
เจ้าพังพอนตนนี้ยังคงเป็นมิตรต่อครอบครัวของเด็กสาว และเจมส์ได้เขียนบันทึกประจำวันเกี่ยวกับพังพอนนี้ไว้ระหว่างปี 1932-1935 ซึ่งปัจจุบันนี้บรรทุกที่ว่าอยู่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยลอนดอน และเจ่าพังพอนนี้ก็กลายเป็นที่นิยมที่ช่วยเรียกนักข่าวและฝูงชนไปยังเกาะแห่งนี้เพื่อดูสัตว์ดังกล่าว แต่กระนั้นหลายคนก็บอกว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องหลอกลวง เนื่องจากเพื่อนบ้านออกมาสัมภาษณ์ว่าพวกเขาไม่เคยหรือได้ยินพังพอนที่ว่า(แต่เพื่อนบ้านบางคนบอกว่าเคยได้ยินเสียงแปลกๆ รอบบ้านของพวกเขาเหมือนกัน) และนอกจากนี้ยังมีรูปถ่ายบางส่วนที่เป็นร่องรอยของพังพอน ส่วน Voirrey เด็กหญิงที่เห็นพังพอนดังกล่าวได้เสียชีวิตลงเมื่อปี 2005 และในช่วงสุดท้ายของชีวิตเธอก็ยังยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง
6. ฝนกบ ฝนปลา
เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ใครหลายๆ คนคงจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว สำหรับเรื่องสายฝนที่ตกโปรยปรายลงมาเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฝนกบ ฝนปลา ก็เป็นเรื่องที่ประหลาดและน่าพิศวงเอามากๆ โดยเฉพาะ ฝนกบ ฝนกบเป็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่ได้ยินบ่อยที่สุด ที่อยู่ดี ๆ สิ่งที่ตกมาพร้อมกับฝนเป็นกบจำนวนมาก
คนสมัยก่อนเชื่อว่ามันเป็นคำสาปหรือเป็นลางร้าย ส่วนวิทยาศาสตร์เชื่อว่าพายุได้หอบเอาน้ำในบึงแม่น้ำลำคลองที่มีกบอาศัยอยู่ แล้วตกมาในรูปแบบของฝน ประเด็นนี้ต่างเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากมายว่าพายุที่ไหนจะพัดเอามาแค่กบเพียงอย่างเดียว
5. การหายสาบสูญของผู้คนบนเรือคาร์รอลล์ เอ. เดียริ่งอย่างลึกลับ
เหตุการณ์แปลกประหลาดครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 มกราคม 1921 เมื่อเรือกู้ภัยได้ค้นพบเรือขนสินค้าลำหนึ่งได้จอดนิ่งสนิทอยู่ที่บริเวณแหลมแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับชายฝั่งของ North Carolina และเมื่อพวกเขาไปถึงก็ต้องตกตะลึง เมื่อสำรวจบนเรือไม่พบสิ่งมีชีวิตใดๆ หลงเหลืออยู่เลย ทั้งๆที่อุปกรณ์ต่างๆยังอยู่ครบ แม้กระทั่งโต้ะอาหารและในโรงครัวยังมีการจัดการเตรียมอาหารเพื่อรับประทานกัน แต่ทว่าทำไมอยู่ๆ ทุกคนกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรือ Carroll A. Deering และลูกเรือทั้ง 11 คน มันเป็นไปไม่ได้ที่ต้นหนเพียงคนเดียวจะก่อกบฏยึดเรือตามที่เคยขู่เอาไว้ด้วยฤทธิ์สุรา ถึงแม้เขาจะทำได้มันก็ไม่มีเหตุผลที่จะทิ้งเรือไป การเผชิญกับพายุกลางทะเลก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะเรือที่ยังอยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ อีกทั้งการหนีลงเรือเล็กท่ามกลางพายุนั้นเป็นเรื่องไม่ฉลาดเท่าไรนัก
ภายหลังปรากฏว่ามีเรือลำอื่นอีกอย่างน้อย 9 ลำสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอยในช่วงเวลาเดียวกันที่บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า จึงทำให้เหตุการณ์นี้กลายเป็นหนึ่งในเรื่องลี้ลับที่สุดที่ยังไม่มีใคร สามารถให้คำตอบได้จนถึงปัจจุบัน
4. ใบหน้าสยองของมนุษย์ผุดบนฝาพนังบ้านได้เอง ที่ประเทศสเปน
เหตุการณ์ลึกลับแปลกประหลาดอันโด่งดังนี้เกิดขึ้นเมื่อ María Gómez Cámara อ้างว่าเธอได้พบกับหน้ามนุษย์โผล่ออกมาจากฝาผนังบ้านอย่างประหลาดในห้องครัวของเธอ สามีและลูกของเธอจึงพยายามทำลายใบหน้านั้นด้วยขวานมาเลาะออกและนำปูนมาโปกทับเข้าไปใหม่ แต่ปรากฏว่าไม่นานใบหน้าใหม่ก็เกิดขึ้นอีก โดยส่วนใหญ่มันมักจะปรากฏบนพนังคอนกรีตของบ้านเธออย่างต่อเนื่องและบางครั้งมันก็อันตธานหายไปซะอย่างนั้น ใบหน้าเหล่านี้จะปรากฏตัวเป็นระยะไม่สม่ำเสมอ หน้าแต่ละหน้าจะไม่เหมือนกัน จะมีรูปร่างแตกต่างกันออกไปอย่างชัดเจน มีทั้งชายและหญิง และการแสดงออกทางสีหน้าแตกต่างกันออกไปอีกด้วย
ปรากฏการณ์ประหลาดนี้เกิดขึ้นในบ้านของ Bélmez de la Moraleda ที่ตั้งอยู่ในถนนหมายเลข 5 เมือง Jayan ประเทศสเปน โดยมันเริ่มต้นในวันที่ 23 สิงหาคม ปี 1971 เมื่อ María Gómez Cámara อ้างว่ามีการพบหน้ามนุษย์ประหลาดเกิดขึ้นโดยธรรมชาติในห้องครัวของเธอที่ผนังซีเมนต์ และถึงแม้พวกเธอจะพยายามทำลายมันยังไง ไม่นานมันก็จะปรากฏขึ้นมาใหม่อีกหลายหน้า แลดูสยดสยอง เพราะใบหน้ามีทั้งชายหญิงและแสดงสีหน้าท่าทางต่างกันออกไป ปัจจุบันบ้านหลังนี้กลับกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ยอดนิยมในการถ่ายรูปและหลายสื่อไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เหล่านักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบเรื่องแปลกประหลาด ต่างก็เข้ามาแวะเวียนกันเพื่อดูปรากฏการณ์ที่ว่านี้ หลายคนเชื่อว่าใบหน้าเหล่านี้ไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์ และเชื่อว่าเป็นปรากฏการณ์ Thoughtographic (ความสามารถในการใช้พลังจิตฉายภาพลงบนกระดาษหรือรูปถ่าย) ที่เกิดจากพลังจิตของเจ้าของบ้านโดยไม่รู้ตัว
3. รถไฟที่หายไปในอุโมงค์ถึง 42 ปี ในประเทศอิตาลี
เป็นเรื่องที่ประหลาดมากๆที่ประเทศอิตาลี โดนต่างคนต่างปิดปากเงียบกันทั้งนั้นเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นที่ประหลาดใจ อย่างมากสำหรับมนุษย์โลกเลยก็ว่าได้ ที่ขบวนรถไฟขบวนหนึ่งพร้อมผู้โดยสารนั้นได้หายไปอย่างลึกลับไร้ร่องรอย ในขณะที่รถไฟเคลื่อนเข้าไปในอุโมงค์แห่งหนึ่งเมื่อปี พ.ศ.2492 ทำเอาทุกคนงงกันไปเลยทีเดียวเมื่อรถไฟขบวนนี้กลับมาโพล่อีกครั้งในสภาพเดิม ทุกอย่างเมื่อประมาณปี พ.ศ.2535 และที่ยิ่งประหลาดใจหนักก็คือ ผู้โดยสารจำนวน 120 คน กับพนักงานอีก 3 คนมีอายุเท่ากับวันที่รถไฟขบวนนี้หายเข้าไปในอุโมงค์ โดยไม่มีใครแก่ขึ้นเลยสักนิดเดียวรูปร่างทุกอย่างเหมือนเดิมเป๊ะ และพวกเขาก็ยังคิดว่านี้ก็คือ พ.ศ.2592 อยู่
ทางรัฐบาลของอิตาลีพยายามปิดเรื่องนี้ไว้อย่างเงียบที่สุดกับรถไฟขบวนหมาย เลข 626 และไม่เปิดเผยด้วยว่ารถไฟขบวนนั้นได้เอาไปเก็บไว้ที่ใด และยังคงจับตาดูผู้โดยสารทั้งหมด 120 คน แต่จะมีอยู่ 2 คนที่หนีการสอบสวนไปได้เพราะเป็นคนต่างชาติ และพนักงานรถไฟ 3 คนได้ถูกคุมตัวไปไว้สถานที่แห่งหนึ่งโดยไม่ได้บอกอะไรต่อสาธารณชนเลยแม้แต่ น้อย โดยการหายไปของรถไฟขบวนนี้
หนังสือพิมพ์อิตาลีตีพิมพ์ออกทุกฉบับแม้ว่าจะพยายามปิดเรื่องนี้ไว้ก็ตาม มีพยานที่ได้ทราบเหตุการณ์นี้ได้เล่าว่า ขบวนรถไฟนี้มีทั้งหมด 13 โบกี้ ได้หายเข้าไปในอุโมงค์รถไฟที่มีความยาว 1 ใน ไมล์อย่างลึกลับโดยไม่มีการโผล่ออกมาอีกด้านหนึ่งเลย เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการปิดอุโมงค์ทำการค้นหา ซึ่งก็จะมีหลายๆหน่วยงานที่มาทำการตรวจสอบด้วย แต่ก็ไม่พบแม้หลักฐานการหายไปของรถไฟเลยแม้แต่น้อย ทำให้หลายๆคนเชื่อกันว่ามนุษย์ต่างดาวได้ทำการโจรกรรมรถไฟขบวนนี้ไป และอุโมงค์ลึกลับนี้ก็ได้เปิดบริการอีกครั้งในปี พ.ศ.2493 อีกครั้ง โดยไม่มีรถไฟขบวนไหนหรือเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นอีกเลย
2. อาถรรพ์ถ้ำหลวง จ.เชียงราย ประเทศไทย
ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อยู่ในตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยนางนอน ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 5,000 ไร่ เป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ มีความยาวเป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย อยู่ที่ 7 กิโลเมตร สำหรับดอยนางนอน หรือชื่อเดิมดอยตายสะ หรือดอยสามเส้านั้นมีตำนานเล่าขานกันต่อๆมาว่ามีเจ้าหญิง จากเมืองเชียงรุ้ง เมืองสิบสองปันนาทำผิดกฎประเพณีราชวัง ด้วยการลักลอบคบหากับชายเลี้ยงม้าในวัง จนตั้งครรภ์และได้หนีตามกันไป ระหว่างทางได้แวะพักเหนื่อยกันในป่า ก่อนที่ชายหนุ่มคนรักของเจ้าหญิงจะถูกลอบฆ่าโดยทหารของราชบิดาที่สะกดรอยตามไป ทำให้เจ้าหญิงเสียใจมากจึงใช้ปิ่นปักผมแทงเข้าไปที่พระเศียรของพระองค์เอง เลือดของเจ้าหญิงที่ไหลพรั่งพรูออกมากลายเป็นต้นน้ำแม่สายของปัจจุบันนี้
เมื่อสังเกตุดีๆจะพบว่าดอยแห่งนี้มีลักษณะเป็นผู้หญิงนอนปล่อยผมยาวสยาย โดยเล่ากันว่านั่นคือพระวรกายของเจ้าหญิงที่นอนสิ้นใจอยู่ ส่วนอีกตำนาน เล่าว่า เจ้าหญิงเมืองพุกามกรีธาทัพออกตามหาเจ้าชายที่นางรัก แต่ปรากฏว่าเจ้าชายหนีหายไปกับสาวสวยชาวเวียงเวียงสี่ทวง นางรู้สึกเศร้าสลดจนตรอมใจตาย ก่อนตายได้ตั้งจิตอธิษฐานให้ร่างของนางกลายเป็นเทือกเขา ที่ชาวบ้านพากันเรียกว่า "ดอยนางนอน" น้ำตาที่ไหลรินกลายเป็น "ขุนน้ำนางนอน" ซึ่งในตอนนี้มีเด็กๆ ทีมฟุตบอล หมูป่าอะคาเดมี่ และ โค้ช อีกหนึ่งคน ได้หายตัวไปในถ้ำ ทางเจ้าหน้าที่และทีมช่วยเหลือกำลังค้นหาอย่างสุดความสามารถ ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้เจอเด็กๆ และโค้ช เร็วๆ และรอดกลับมาได้อย่างปลอดภัยทุกคนด้วยเถิด
ปกติถ้ำนี้จะไม่ค่อยมีคนเข้าไปข้างใน เพราะดูลึกลับและน่ากลัวมาก ชาวบ้านแถวนี้รู้ดีถึงอาถรรพ์และความลี้ลับที่อยู่ภายในถ้ำ จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปแม้จะเป็นในเวลากลางวัน ซึ่งมีตำนานเล่าขานถึงความลี้ลับมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตำนานของ เจ้าแม่ดอยนางนอน หรือ ตำนานเจ้าปู่พญานาค ผู้ดูแลรักษาถ้ำแห่งนี้ การที่จะเข้าไปในถ้ำแห่งนี้ ตามความเชื่อต้องขออนุญาต จากผู้ที่ดูแลถ้ำ และเข้าไปชมด้วยความสงบ ห้ามส่งเสียงดัง และพูดจาในสิ่งที่ไม่ควร ถ้ำนี้จะแตกต่างจากทุกถ้ำที่ผู้โพสต์เคยไปไปมา เพราะทุกอณูของถ้ำเหมือนมีชีวิตและเหมือนกำลังจับตามองผู้ที่เข้ามาทุกฝีก้าว
1. Rain Boy มนุษย์ฝน
Donnie Decker เขาถูกขนานนามว่า "Rainboy" ในปี 1983 ชายที่ชื่อ Donnie Decker ซึ่งเป็นชาวซิลเวเนียที่ได้รับความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการ เป็นเพราะตัวเขานั้นถูกล้อมรอบไปด้วยปรากฏการณ์ที่น่าตกตะลึงและขนลุก เพราะไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน มันจะเกิดปรากฏการณ์ฝนตกปรากฏอยู่รอบตัวเขา!! มันเริ่มต้นหลังจากการตายของคุณปู่ของเขา เมื่อเขาเป็นวัยรุ่นในเดือนกุมภาพันธ์ของ ปี 1983 วันนั้นเขาเดินทางไปยังบ้านเพื่อนของเขาคนหนึ่ง และในขณะที่เขาอยู่ใน ห้องน้ำนั่นเองเขาก็ตะโกนขอความช่วยเหลือ โดยอ้างว่าเขากำลังถูกโจมตีโดยสิ่งที่ เรียกว่าเป็นวิญญาณของปู่ของเขา ทุกคนต่างเห็นว่าทั่วทั้งแขนของเขาเต็มไปด้วยรอย ถูกของแหลมขีดข่วนเต็มไปหมด
หลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงพาเขาออกมายังห้องนั่งเล่น และไม่นานก็เกิดเหตุการณ์ อันน่าสะพึงเมื่อมีฝนตกเกิดขึ้นภายในบ้าน ที่เพดานเต็มไปด้วยหยดน้ำและมีทะเล หมอกเต็มไปทั่วห้อง ไม่รอช้าพวกเขารีบนำตัวเขาออกมาจากห้องและพากันออกจาก ที่นั่นโดยเร็ว แต่เหตุการณ์ยังไม่สงบเพราะตลอดการเดินทางนั้นกลับเกิดฝนตกตามพวกเขาไปอย่างไม่มีสาเหตุ ต่อมาไม่นานเขาได้ไปทานอาหารที่ร้านอาหารร่วมกับเพื่อนคนอื่นๆ แต่ในที่สุดก็ต้องวง แตกเมื่อปรากฏว่ามีฝนตกลงบนหัวของพวกเขาเจ้าของร้านอาหารจึงรีบไล่เขาออกไปจากร้านโดยทันที
ปีต่อมาเนื่องจากความผิดทางอาญาเขาจึงถูกจำคุก แต่แล้วก็เกิดความวุ่นวายเมื่อฝน เริ่มเทลงในคุกที่เขาอาศัยอยู่มันไม่มีท่าทีว่าจะทุเลาลง เกิดความวุ่นวายในคุกถึงกระทั่ง ต้องอัญเชิญบาทหลวงมาไล่ผีแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเล่นเอาผู้ต้องขังทุกคนโกรธ เขาเป็นการใหญ่เขาอธิบายว่าเขาสามารถทำให้ฝนตกได้เมื่อเขาต้องการและได้รับการพิสูจน์และเขาก็ทำมันได้จริงๆ ในที่สุดเขาก็ได้รับการปล่อยตัวจากคุก และหลังจากนั้นมีข่าวลือว่าเขาได้ไปทำงานเป็น พ่อครัวอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งซึ่งไม่เป็นที่เปิดเผย และหลังจากเหตุการณ์ต่างๆเหล่านั้น มันก็ยังไม่มีใครอธิบายได้ว่ามันคืออะไร และยัง คงเป็นเหตุการณ์แปลกประหลาดลึกลับที่ยังเป็นปริศนามาจนถึงตราบเท่าปัจจุบันนี้
ทั้งนี้ ทั่วทุกมุมโลกมักจะมีเรื่องราวอาถารรพ์ และเหตุการณ์ลี้ลับอยู่เยอะแยะไปหมด แต่ละเรื่องน่ากลัว เห็นแล้วรู้สึกขนลุกสุดๆ แต่เรื่องแบบนี้ยังไงก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณและความเชื่อส่วนบุคคล
ขอบคุณข้อมูล : armasecrettt