เจ้าของพลิกแผ่นดินหา เสิ่นเจิ้น แฝดจอนนี่ อาตแมว หายเข้าป่าไปกว่า 50 ชั่วโมง

เจ้าของพลิกแผ่นดินหา เสิ่นเจิ้น แฝดจอนนี่ อาตแมว หายเข้าป่าไปกว่า 50 ชั่วโมง

เจ้าของพลิกแผ่นดินหา เสิ่นเจิ้น แฝดจอนนี่ อาตแมว หายเข้าป่าไปกว่า 50 ชั่วโมง

เจ้าของเล่าเหตุการณ์ระดมกำลังเข้าป่าพร้อมชาวบ้านเพื่อตามหาเสิ่นเจิ้น แมวที่รับมาเลี้ยงหลัง จอนนี่ แห่งเพจดัง จอนนี่ แมวศุภลักษณ์ เสียชีวิตไป โดยคุณเกรียงไกร ซื่อตรง ได้โพสต์เล่าผ่านเพจทาสแมวเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา เล่าว่า

50 ชั่วโมงของการตามหาแมวที่หายไป เช้าวันที่ 4 พฤศจิกายนเวลาประมาณ 10 โมงเช้าผมขับมอเตอร์ไซค์นำเจิ้นแมวของผมซึ่งเป็นแมวจรที่ผมรับมาเลี้ยงไปถ่ายภาพที่น้ำตกในหมู่บ้าน ซึ่งน้ำตกแห่งนี้เป็นโลเคชั่นที่ผมชอบพาแมวที่บ้านหลายๆตัวในบ้านออกไปถ่ายภาพและพาออกมาเดินเล่นเป็นประจำโดยเฉพาะตอนที่จอนนี่ยังมีชีวิตอยู่เนื่องจากน้ำตกแห่งนี้ไม่ค่อยมีผู้คนเข้ามาท่องเที่ยวและยังไม่มีหมาอาศัยอยู่ในบริเวณนี้เลยจึงทำให้ผมมีความรู้สึกว่าสถานที่ปลอดภัยสำหรับบรรดาแมวๆที่พาออกมาเที่ยวนอกบ้าน ซึ่งน้ำตกแห่งนี้มีเทือกเขาที่สลับซับซ้อนและเต็มไปด้วยป่าดงดิบตามธรรมชาติที่เป็นแหล่งน้ำของหมู่บ้าน

วันนี้ก็เหมือนกับในหลายๆครั้งที่ผมพาเจิ้นมาถ่ายภาพตามปกติและดูเหมือนว่าเจิ้นจะชอบเดินเล่นแถวนี้มากเพราะดูเจิ้นจะตื่นเต้นกับแมลงที่บินอยู่บริเวณนั้นเจิ้นจึงวิ่งเล่นกระโดนตบแมลงอย่างสนุกสนาน เมื่อผมถ่ายภาพเจิ้นได้สักพักและเห็นว่าเจิ้นยังคงนั่งอยู่ที่เดิมผมจึงละสายตาหันมาปรับค่าสปีชชัตเตอร์กล้องสายตาก็มองแต่สเกลวัดแสงที่กล้อง เมื่อปรับค่าแสงในกล้องถ่ายภาพแล้วจึงหันไปมองเจิ้นเพื่อที่จะถ่ายภาพต่อไป แต่ไม่มีเจิ้นอยู่ตรงนั้นแล้ว..!!!

ผมรีบวางกล้องถ่ายภาพวิ่งมาหาเจิ้นซึ่งห่างกันไม่เกินสามเมตรแต่ตอนนี้ผมไม่เห็นตัวเจิ้นแล้ว ด้วยความตกใจผมจึงรีบปีนตีนเขาซึ่งเต็มไปด้วยหนามแต่ตอนนั้นผมตกใจและเป็นห่วงเจิ้นลืมคิดถึงเรื่องนั้นไปเลย เมื่อผมปีนขึ้นไปบนเขาก็รีบเดินหาเจิ้นบริเวณกอไผ่แถวนั้นแต่หลังจากเรียกเจิ้นไปสักพักก็ไม่มีเสียงตอบรับหรือมองเห็นว่าเจิ้นไปอยู่ตรงไหนผมจึงตัดสินใจรีบขับรถมอเตอร์ไซค์ออกมาบอกผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านและโทรบอกภรรยาซึ่งกำลังทำงานอยู่ต่างอำเภอว่าผมได้ทำเจิ้นหายไป..

เจ้าของพลิกแผ่นดินหา เสิ่นเจิ้น แฝดจอนนี่ อาตแมว หายเข้าป่าไปกว่า 50 ชั่วโมง

 

สักพักผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านคนอื่นๆในหมู่บ้านเกือบยี่สิบคนพร้อมสุนัขดมกลิ่นก็เข้ามาถึงบริเวณน้ำตกเพื่อช่วยกันตามหาเจิ้นโดยผู้ใหญ่บ้านกำชับว่าใช้เจ้าของสุนัขผูกเชือกล่ามไว้กับเจ้าของเพื่อป้องกันสุนัขทำร้ายเจิ้น จากนั้นชาวบ้านทั้งหมดจะแบ่งกันเป็นสองทีมขึ้นไปบนภูเขาทั้งสองฝั่งทำแนวครึ่งวงกลมเพื่อบีบไล่ให้เจิ้นลงมาจากบนภูเขาและให้ออกมาตรงถนนด้านล่าง ผมและชาวบ้านใช้เวลาค้นหาเจิ้นผ่านไปเหลายชั่วโมงแต่ก็ไม่พบตัวของเจิ้นเลยแม้แต่สุนัขดมกลิ่นทั้งสองตัวก็ยังไม่ได้กลิ่นของเจิ้น

ตอนนั้นผมเริ่มเครียดมาก จนถึงเวลาเกือบมืดผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านก็เดินทางกลับโดยบอกว่าพรุ่งนี้เช้าจะมาช่วยกันมาตามหาเจิ้นกันใหม่ ขณะเดียวกันภรรยาผมก็ขับรถยนต์กลับจากหน้าไซต์งานมาถึงที่นี่พอดี เมื่อภรรยาผมมาถึงก็ได้เดินตะโกนเรียกชื่อเจิ้นแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา คืนนั้นช่วงค่ำผมนำอาหารเม็ดและอาหารเปียกใส่ถ้วยวางไว้ตามแนวถนนที่ตัดผ่านภูเขาลูกนั้นในบริเวณน้ำตกเพราะหวังว่าเจิ้นคงจะลงมากินอาหารหรือปรากฎตัวให้ผมได้เห็นบ้าง ผมเดินส่องไฟฉายเดินหาเจิ้นจากถนนด้านล่างและบนภูเขาไปมาหลายรอบพร้อมทั้งเคาะถ้วยอาหารเรียกเจิ้นตลอดเวลาเนื่องจากในน้ำตกแห่งนี้ไม่มีไฟฟ้าหรือสัญญาโทรศัพท์ทำให้บรรยากาศในยามค่ำคืนเงียบและมืดมิดมาก
ขณะนั้นภรรยาของผมซึ่งกลับออกมาที่บ้านเพื่อเตรียมผ้าห่มและเครื่องนอนสนามได้ขับรถยนตร์เข้ามายังน้ำตกแห่งนี้ เมื่อรถยนต์ของภรรยาผมได้ขับผ่านผมซึ่งกำลังส่องไฟฉายเดินหาเจิ้นอยู่บริเวณถนนและเมื่อรถยนต์กำลังจะไปจอดที่บริเวณที่ผมทำเจิ้นหายตอนกลางวันแสงไฟหน้ารถยนต์ทำให้เห็นว่าเจิ้นเดินมากินอาหารที่ผมวางไว้ ด้วยความดีใจมากภรรยาผมจึงตะโกนบอกผมว่าเจอเจิ้นแล้วทำให้เจิ้นตกใจวิ่งหนีหายเข้าป่าไปอีกแม้ว่าผมพยายามจะตามหาเจิ้นเท่าไหร่ก็ไม่พบ 

คืนนั้นผมจึงเก็บถ้วยอาหารมารวบรวมวางไว้ในจุดที่ภรรยาผมพบเจิ้นล่าสุดพร้อมจุดเทียนส่องสว่างไว้ จากนั้นจึงนำรถยนต์ไปจอดเปิดประตูทิ้งไว้เพราะคิดว่าเจิ้นอาจจะจำรถได้และกลับเข้ามานอนในรถ คืนนั้นผมและภรรยาตลอดและคนอื่นๆต่างถอยออกมาจากจุดที่วางอาหารกันอย่างเงียบๆเพื่อเฝ้ารอให้เจิ้นออกมาจากที่ซ่อนตัวจนถึงเวลาเช้าโดยไม่มียอมนอนแต่เจิ้นก็ไม่ยอมออกมาเลย ช่วงเช้าภรรยาผมต้องขับรถยนตร์ไปทำงานคนเดียวส่วนผมยังคงเฝ้ารอเจิ่นอยู่ที่เดิมโดยที่ไม่มีใครได้นอนกันทั้งคืน ช่วงสายมีผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านต่างเดินทางมาหาผมที่น้ำตกเพื่อช่วยค้นหาเจิ้นแต่ผมบอกว่าเจิ่นอยู่ใกล้ๆจุดที่เจิ้นหายแต่ด้วยสภาพของป่าที่รกชัฏทำให้เราไม่รู้ตำแหน่งของเจิ้นหากเรานำคนไปค้นหาอีกอาจจะทำให้เจิ้นเตลิดไปไกล

จากนั้นผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านจึงเดินทางกลับ ซึ่งก่อนกลับผู้ใหญ่บ้านได้ปิดกั้นเส้นทางเข้าน้ำตกไม่ให้นักท่องเที่ยวหรือใครเข้ามาอีกเพราะเกรงว่าอาจจะทำให้มีเสียงดังจนเจิ้นหนีไปไกล จากนั้นผมก็ถอยห่างจากจุดที่พบเห็นเจิ้นครั้งล่าสุดมาสังเกตการณ์แบบห่างๆด้วยหวังว่าหากไม่มีเสียงใดๆมารบกวนวันนี้เจิ้นคงออกมากินอาหาร แต่ตลอดทั้งวันผมก็ไม่เห็นเจิ้นลงมากินอาหารเลย ช่วงบ่ายผมนำต๊อกแมวที่บ้านอีกตัวออกมาเรียกหาเจิ้นแต่ก็ไม่พบตัวเจิ้นหรือเสียงตอบรับเลย

ช่วงเย็นมีชาวบ้านหลายคนต่างเดินเข้ามาสอบถามผมที่น้ำตกว่าเจอเจิ้นหรือยังพร้อมทั้งให้กำลังใจเพราะเชื่อว่าเจิ้นยังคงอยู่บริเวณนั้นไม่หนีไปไหนไกล ตอนค่ำผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านต่างช่วยกันนำอุปกรณ์แสงสว่างมาติดตั้งบริเวณที่ผมวางถ้วยอาหารไว้ให้เจิ้นแล้วก็กลับไปเพราะต้องการให้มีผู้คนอยู่บริเวณนั้นน้อยที่สุดแต่ช่วงดึกก็ชาวบ้านคนนึงเดินดุ่มๆเข้ามาหาผมแล้วบอกผมว่าไม่ต้องพูดอะไรนะให้ดูอย่างเดียว จากนั้นเขาก็เดินไปยังบริเวณที่เจิ้นหายแล้วแหกปากท่องคาถาเสียงดังลั่น

ผมได้แต่อุทานว่า"ชิป...." ผมอุตส่าห์ทำทุกอย่างให้เงียบแต่นี่ดันมาตะโกนแหกปากซะลั่นป่า ผมจึงรีบไปบอกชาวบ้านคนนั้นว่าอย่าทำเสียงดังเดี๋ยวแมวจะตกใจแต่เขาหันกลับมาบอกผมว่า"ไม่เกินสองทุ่มแมวออกมาแน่"จากนั้นเขาก็เดินจากไป ผ่านไปสักพักมีชาวบ้านอีกคนซึ่งมีอาการคล้ายคนเมาเหล้าได้เดินเข้ามาหาผมแล้วบอกว่า"เชื่อลุงนะ แมวเขารักเจ้าของยังไงซะเดี๋ยวก็ออกมาหา แต่อย่าส่งเสียงดัง ต้องอยู่เงียบๆ สำคัญต้องเงียบไม่งั้นแมวจะตกใจไม่กล้าออกมา ผมจึงได้แต่บอกลุงไปว่า"ผมเงียบมาทั้งวันแล้ว แต่เสียงลุงนี่ดังลั่นเลยนะครับ" ลุงได้แต่หัวเราะแล้วตอบผมว่า"เสียงลุงดังเหรอ งั้นลุงกลับดีกว่า" แล้วลุงก็เดินหายไปในความมืด ผมจึงต้องนำรถยนต์ไปจอดขวางถนนทางเข้าน้ำตกไว้เพราะไม่อยากให้ใครเข้ามาส่งเสียงดังอีก

จากนั้นผมก็นั่งรอเจิ้นอย่างใจจดใจจ่อ เพราะถ้าเจิ้นออกมาก็จะคลายความกังวลไปบ้างเนื่องจากตั้งแต่เมื่อคืนวานยังไม่เห็นเจิ้นออกมาเลย ผมกลัวว่าเจิ้นจะหนีขึ้นไปบนยอดเขาซึ่งจะทำให้การค้นหาทำได้ยากขึ้นอีกจนเวลาเที่ยงคืนครึ่งผมก็เห็นเจิ้นเดินลงมาจากบนเขา ผมรีบปลุกภรรยาผมซึ่งป่วยและกินยาหลับไปตอนค่ำลุกขึ้นมาดูเจิ้น เจิ้นเดินมาแบบชิวๆผ่านถ้วยอาหารและกระโดดขึ้นตลิ่งของภูเขาอีกด้าน ผมจึงรีบเดินตามเจิ้นไปแบบกระชั้นชิดพร้อมเรียกชื่อเจิ้นเบาๆแต่เจิ้นก็ไม่สนใจผมยังคงค่อยๆเดินใต่หน้าผาแล้วก็ไปนอนใต้ดงหนามในป่า ผมรีบยกถ้วยอาหารส่งให้เจิ้นซึ่งสูงห่างจากผมประมาณเมตรกว่าๆแต่ผมไม่สามารถจับเจิ้นลงมาได้เพราะกลัวว่าเจิ้นจะหนีเตลิดขึ้นไปบนภูเขาอีก
ผมจึงได้แต่เรียกชื่อเจิ้นแต่เจิ้นก็ไม่สนใจแถมเมินหน้าหนีอีก สุดท้ายผมก็ต้องเดินกลับออกด้วยด้วยอารมณ์โมโหพร้อมทั้งบ่นมาตลอดทางว่า"มันจะยากตรงไหนวะเจิ้น แค่เดินลงมาแล้วก็กลับบ้านแค่นั้น" ด้วยความโมโหผมจึงเก็บถ้วยอาหารออกทั้งหมด ดูซิว่าใครจะมีความอดทนมากกว่ากัน ถ้าไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน

จนเวลาช่วงเช้าผมจึงปีนขึ้นไปดูในจุดที่เห็นเจิ้นเมื่อคืนพบว่าเจิ้นไม่อยู่แล้ว แต่มีร่องรอยของดินที่เจิ้นนอนเป็นแอ่งและบริเวณใกล้ๆกันมีกองอึของเจิ้นอยู่ ผมนั่งปรึกษากับภรรยาว่าวันนี้เรารู้ตำแหน่งของเจิ้นแล้วเดี่ยวช่วงสายๆผมจะไปบอกชาวบ้านให้ช่วยตีวงล้อมบีบไล่เจิ้นลงมาที่โล่ง จนถึงเวลาประมาณ 11 โมงชาวบ้านนับสิบคนพร้อมสุนัขดมกลิ่นก็มาถึงที่น้ำตกผมบอกให้ชาวบ้านแบ่งกันเป็นสองกลุ่มขึ้นไปโอบล้อมแล้วเดินแหวกดงหนามเพื่อไล่เจิ้นลงมา 
แต่เมื่อทุกคนเดินไล่ลงมาบรรจบกันกลับไม่พบตัวของเจิ้น เพราะเจิ้นเดินขึ้นไปบนภูเขาแล้ว โชคดีที่มีชาวบ้านคนนึงซึ่งอยู่สูงขึ้นไปจากกลุ่มของชาวบ้านบริเวณกลางภูเขาได้ตะโกนออกมาว่าพบเจิ้นแล้ว ผมกับชาวบ้านทั้งหมดจึงพากันวิ่งไปยังจุดที่ชาวบ้านคนนั้นร้องบอกและล้อมกอไผ่นั้นไว้ ผมเห็นเจิ้นอยู่บนกองไม้ไผ่ผุๆ ผมเรียกเจิ้นเขาก็หันมามองหน้าผม ผมจึงค่อยๆเอื้อมมือไปคว้าเจิ้น แต่บังเอิญที่มีชาวบ้านคนนึงซึ่งอยู่อีกฝากของกอไผ่ได้ใช้มีดพร้าฟันไม้ไผ่เข้ามาหาผมทำให้ไม้ไผ่ที่เจิ้นหมอบอยู่กระดกขึ้นมา เจิ้นจึงตกใจและวิ่งหนีขึ้นไปบนเขาสูงอีก ผมและชาวบ้านจึงวิ่งไล่ตามไปจนทัน

ผมเข้าไปคว้าเจิ้นไม่ถึงเพราะติดไม้ไผ่จึงให้ชาวบ้านซึ่งอยู่อีกด้านและใกล้ตัวเจิ้นมากกว่าช่วยจับเจิ้นมาให้
“เจิ้นไม่กัดครับ จับมาได้เลย” ผมบอกให้าวบ้านคนนั้นจับตัวเจิ้นมา
“จับคอๆแล้วส่งให้เจ้าของ”มีเสียงชาวบ้านคนอื่นบอกให้คนที่จับเจิ้นส่งเจิ้นให้ผม

เมื่อชาวบ้านคนนั้นพยายามที่จะส่งเจิ้นให้ผม ขณะที่เจิ้นกำลังใกล้จะถึงมือผม จู่ๆเจิ้นก็หันไปข่วนหน้าชาวบ้านคนนั้นและดิ้นจนหลุดมือทั้งๆที่ผมกำลังจะถึงตัวเจิ้นแค่คืบเดียวเอง...จากนั้นเจิ้นก็วิ่งหนีขึ้นไปบนยอดเขา ผมขาอ่อนหมดแรงทันทีเพราะกำลังดีใจที่จะได้ตัวเจิ้นแต่กลับหลุดมือไปต่อหน้าต่อตาที่สำคัญหากเจิ้นวิ่งขึ้นไปพ้นจากยอดเขาลูกนี้อีกด้านก็จะมีภูเขาสลับซับซ้อนอีกหลายลูกทำให้การตามหาตัวเจิ้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย ผมจึงบอกชาวบ้านเจ้าของสุนัขที่จูงมาด้วยว่า"ปล่อยหมาเลยพี่ แต่พี่ต้องตามหมาให้ทันนะ"เพราะผมกลัวว่าหมาจะทำร้ายเจิ้นแต่มันเป็นวิธีสุดท้ายที่ต้องเสี่ยง เพราะขอบเขตในการหาตัวเจิ้นเริ่มกว้างออกไปทุกที เมื่อชาวบ้านคนนั้นปล่อยเชือกจูงหมาออก  หมาตัวนั้นก็รีบวิ่งขึ้นไปยังยอดเขาไปทันที พวกเราทั้งหมดจึงรีบวิ่งตามหมาตัวนั้นขึ้นเขาไปอย่างกระชั้นชิด ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงหมาเห่ากรรโชก พร้อมทั้งเสียงชาวบ้านตะโกนว่าพบตัวเจิ้นแล้ว ผมจึงรีบวิ่งขึ้นไปตามเสียงนั้นบนยอดเขาทันที เมื่อผมไปถึงยังจุดที่ชาวบ้านตะโกนเรียกมีชาวบ้านคนนึงกำลังอุ้มเจิ้นเดินมาส่งมาให้ผม ผมคว้าเจิ้นมากอดแน่น  ได้กลับบ้านสักทีนะเจิ้น

สักพักมีเสียงชาวบ้านที่วิ่งตามผมมาด้านหลังร้องเสียงดังลั่น"แตนต่อยๆ" ชาวบ้านกลุ่มนั้นถามผมว่าผมวิ่งผ่านมายังไงถึงไม่โดนตัวแตนต่อย ผมบอกชาวบ้านไปว่า"จะเหลือหรือ หัวผมบวมเป็นลูกมะกรูดอยู่นี่ แต่ผมดีใจที่เจอเจิ้นเลยลืมร้องบอก"

จากนั้นผมจึงขอให้ชาวบ้านช่วยกันถางทางเดินลงจากยอดเขา เพราะกลัวว่าหากผมเกิดสะดุดกิ่งไม้ล้มลง เจิ้นอาจจะหลุดตกใจวิ่งหนีไปอีก เมื่อมาถึงช่วงกลางภูเขาผมก็พบภรรยาซึ่งกำลังเดินตามผมขึ้นมาบนภูเขาทั้งที่ป่วย ผมส่งเจิ้นให้กับภรรยาซึ่งรับเจิ้นมากอดไว้แน่น ภรรยาบอกกับผมว่า"เธอไปบนบานขอให้ได้เจิ้นกลับมาก่อนเที่ยงวัน แล้วเธอจะสร้างศาลเพียงตาทรงโมเดิร์นไว้ที่น้ำตกแห่งนี้" เมื่อผมยกนาฬิกาขึ้นมาดูก็เป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี ผมพาเจิ้นกลับมาถึงที่บ้านแล้ววางเจิ้นลง ดูเหมือนว่าเจิ้นจะไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนหรือตื่นเต้นอะไรคงเดินไปฉี่ในกระบะทรายแล้วเดินมานอนเลียพุงแบบสบายใจ

ครั้งนี้เป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับผมที่เกือบต้องเสียของรักไปด้วยความประมาทและสะเพร่าของผมเอง ซึ่งผมก็ยอมรับผิดในเรื่องนี้ด้วยหนามนับร้อยเล่มที่ปักทั่วร่างกายของผมและหัวที่ปูดโนเพราะโดนแตนต่อย เป็น 50 ชั่วโมงที่รอคอยด้วยความหวังจนลืมความหิวความง่วงความเหนื่อย

 

เจ้าของพลิกแผ่นดินหา เสิ่นเจิ้น แฝดจอนนี่ อาตแมว หายเข้าป่าไปกว่า 50 ชั่วโมง

 

เจ้าของพลิกแผ่นดินหา เสิ่นเจิ้น แฝดจอนนี่ อาตแมว หายเข้าป่าไปกว่า 50 ชั่วโมง

 

ขอบคุณ เกรียงไกร ซื่อตรง

เจ้าของพลิกแผ่นดินหา เสิ่นเจิ้น แฝดจอนนี่ อาตแมว หายเข้าป่าไปกว่า 50 ชั่วโมง