ศาลฎีกา สั่งยกฟ้อง หมอนิ่ม คดีจ้างวานฆ่า เอ็กซ์ จักรกฤษณ์

ศาลฎีกา สั่งยกฟ้อง หมอนิ่ม คดีจ้างวานฆ่า เอ็กซ์ จักรกฤษณ์

เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งคดีที่ยืดเยื้อมานานหลายปี สำหรับคดีของ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม อดีตนักยิงปืนทีมชาติไทย ที่ผู้กระทำได้จ้างวานให้มือสังหาร ยิงปืนใส่เอ็กซ์ ดับคารถหรู เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2556 ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แกะรอยจากพยานหลักฐานจนในที่สุดสามารถจับตัวมือสังหารรวมถึงผู้จัดหาได้สำเร็จ หลังคำซัดทอดเผยออกมาเป็นที่ตกใจของผู้ที่รอฟังสรุปผลของคดี เอ็กซ์  จักรกฤษณ์ เมื่อผู้ที่อยู่ในขบวนการจ้างวานฆ่านั้นเป็นคนใกล้ชิด อย่าง พญ.นิธิวดี หรือ หมอนิ่ม ภู่เจริญยศ ภรรยาของเอ็กซ์ รวมอยู่ในคดีด้วย และเมื่อแกะรอยลงลึกไปอีกขั้น เจ๊แหม่ม คนรับงานและจัดหามือปืน ออกมาซัดทอดไปถึง นางสุรางค์ ดวงจินดา แม่ของหมอนิ่ม ว่าเป็นผู้จ้างวานและเรียกตนเข้าไปหา 

ศาลฎีกา สั่งยกฟ้อง หมอนิ่ม คดีจ้างวานฆ่า เอ็กซ์ จักรกฤษณ์

ยกฟ้อง "หมอนิ่ม"

สำหรับความคืบหน้ากรณีดังกล่าวนั้น เพจเฟซบุ๊ก สื่อศาล ได้รายงาน ข้อมูลคำพิพากษาฎีกา “คดีฆ่านายจักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม อดีตนักกีฬายิงปืนทีมชาติไทย”ตัวอย่างคดีศึกษาเหตุพิจารณาบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา

ตามที่ พนักงานอัยการสำนักงานคดีศาลจังหวัดมีนบุรี เป็นโจทก์ และนายมานพ พณิชย์ผาติกรรม เป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง

นายจิรศักดิ์ จำเลยที่ 1

น.ส.สุรางค์ จำเลยที่ 2

อดีตภรรยาผู้เสียชีวิต จำเลยที่ 3

นายสันติ จำเลยที่ 4

นายธวัชชัย จำเลยที่ 5

ในความผิดต่อชีวิต และความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490

โดยคดีนี้ มีนางบุญคิด พณิชย์ผาติกรรม เป็นผู้ร้อง ยื่นคำร้องขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งเป็นเงิน 4.4 ล้านบาทด้วย

สำหรับพฤติการณ์ตามฟ้องกล่าวหาว่า ระหว่างเดือน ส.ค.56 - วันที่ 19 ต.ค.56 จำเลยที่ 2, 3, 4 ได้ร่วมกันจ้างวานใช้ให้ฆ่านายจักรกฤษณ์หรือเอ็กซ์ พณิชย์ผาติกรรม อดีตนักกีฬายิงปืนทีมชาติไทย

ซึ่งศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1, 3, 4, 5 ว่าได้ร่วมกันกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 289(4) และความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน ฯ ประกอบ ป.อ.มาตรา 83 ให้จำคุกตลอดชีวิตจำเลยที่ 1 และที่ 5 และให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยยกฟ้องจำเลยที่ 2 กับให้จำเลยที่ 1, 3, 4, 5 ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 2.5 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีให้กับโจทก์ร่วมและผู้ร้อง

ต่อมา โจทก์ โจทก์ร่วม ผู้ร้อง และจำเลยทั้งห้ายื่นอุทธรณ์ โดยศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 289(4) ประกอบมาตรา 84 ให้จำคุกตลอดชีวิต และให้จำเลยที่ 2 ร่วมชดใช้เงินจำนวน 2.5 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีให้โจทก์ร่วมและผู้ร้องด้วย ส่วนจำเลยที่ 3 ให้ยกฟ้องและให้ยกคำร้องขอชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนของจำเลยที่ 3 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา ซึ่งคดีมีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาไปเมื่อวันที่ 12 พ.ค.64 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า ฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่ต่อสู้ในประเด็นการร่วมจำเลยที่ 4 และที่ 5 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 2.5 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จให้กับโจทก์ร่วมและผู้ร้องนั้น ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมชดใช้ตามจำนวนดังกล่าวนั้นชอบด้วยเหตุผลแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย และฎีกาข้ออื่นที่ต่อสู้ประเด็นการรับฟังคำให้การพยานที่มาลงโทษจำเลย ก็ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

อย่างไรก็ดี ในส่วนของพฤติการณ์การกระทำผิดจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นแม่ยายผู้ตาย ศาลฎีกาเห็นว่าเกิดจากการที่ผู้ตายกระทำต่อจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรคนเดียวของจำเลยที่ 2 ครั้งแล้วครั้งเล่า และบางครั้งยังกระทำต่อหน้าหลานเล็ก ๆ ของจำเลยที่ 2 อันเนื่องมาจากปัญหาการควบคุมอารมณ์ของผู้ตาย โดยก่อนเกิดเหตุมีความไม่แน่นอนว่าผู้ตายซึ่งเป็นนักกีฬายิงปืน มีอาวุธปืนอาจใช้อาวุธปืนของตนกระทำต่อจำเลยที่ 3 และครอบครัวในขณะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ก็เป็นได้เพราะก่อนเกิดเหตุเพียง 2 เดือนก็ยังใช้อาวุธปืนยิงไปทางคนรับใช้และบุตรคนเล็กจนผู้ตายถูกจับและถูกควบคุมตัวที่เรือนจำและเพิ่งได้รับการประกันตัวมาไม่นาน การกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 ที่ขณะเกิดเหตุเป็นหญิงมีอายุถึง 72 ปีและบัดนี้มีอายุเกือบ 80 ปีแล้ว และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน จึงเข้าลักษณะของผู้กระทำความผิดที่ตกอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัส มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 78 ที่ศาลอาจลดโทษได้ให้ไม่เกินกึ่งหนึ่ง และตาม ป.อ.มาตรา 52 “ในการลดโทษประหารชีวิตไม่ว่าจะเป็นการลดมาตราส่วนโทษหรือลดโทษที่จะลง ให้ลดดังต่อไปนี้... (2) ถ้าจะลดกึ่งหนึ่งให้ลดเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือโทษจำคุกตั้งแต่ 25 ปีถึง 50ปี” ที่ศาลอุทธรณ์ลดโทษให้จำเลยที่ 2 เพียงหนึ่งในสามและคงจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิตด้วยเหตุเพียงคำให้การชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ศาลฎีกายังไม่เห็นพ้องด้วย เห็นควรลดโทษให้จำเลยที่ 2 อีก

ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้เป็นว่า คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา และจำเลยที่ 2 กระทำความผิดเพราะตกอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัส มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่งตาม ป.อ มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) คงลงโทษจำคุก 25 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

*** หมายเหตุ คดีนี้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 12 พ.ค 64

ศาลฎีกา สั่งยกฟ้อง หมอนิ่ม คดีจ้างวานฆ่า เอ็กซ์ จักรกฤษณ์

ซึ่งคดีนี้ได้รับความสนใจจากผู้คนในสังคมจำนวนมาก เพราะมือปืนได้ก่อเหตุอย่างอุกอาจกลางถนนที่มีรถสัญจรพลุกพล่าน ประกอบกับผู้จ้างวานฆ่ากลายเป็นคนใกล้ชิดที่สุด เราจะลองย้อนไปดูลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวพณิชย์ผาติกรรม ถึงกับปมสังหารในครั้งนี้อีกครั้ง

เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2556 นางบุญคิด พณิชย์ผาติกรรม และ พญ.นิธิวดี ภู่เจริญยศ หรือ หมอนิ่ม แม่ของ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ และภรรยาของ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังถูกเอ็กซ์ทำร้ายร่างกายและใช้ปืนข่มขู่ โดยอ้างว่า เอ็กซ์ติดยาไอซ์อย่างหนักจนประสาทหลอน ขณะที่ทางด้าน เอ็กซ์ ยอมรับว่า ที่ผ่านมาเคยเสพยาเสพติดจริง แต่ปัจจุบันได้เลิกหมดแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นแค่ปัญหาหึงหวงเท่านั้น


หลังจากนั้น ตำรวจได้บุกค้นบ้านของ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ โดยพบมีวัสดุคล้ายเครื่องเสพสารบางอย่าง และที่บรรจุสารบางอย่างทั้งเก่าและใหม่จำนวนมากจึงเก็บไว้เป็นหลักฐานก่อนนำไปตรวจสอบ อีกทั้งพบปืนออโตเมติก 2 กระบอก บรรจุเครื่องกระสุนปืน, ปืนลูกซองยาว 1 บอก, ปืนยาวคล้ายปืน เอ็ม 16 อยู่ในตู้ 1 กระบอก และข้างเตียงนอนพบมีดสปาร์ต้า 1 เล่ม ซึ่งตรงตามที่ พญ.นิธิวดี แจ้งว่าถูกใช้มีดเล่มดังกล่าวข่มขู่

โดยทางตำรวจจับกุมตัว เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ พร้อมตั้ง 4 ข้อหาหนัก ทั้งพยายามฆ่าผู้อื่น ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บ มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และกระทำความรุนแรงในครอบครัว พร้อมกับคัดค้านการประกันตัวเนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาอาจจะกลับไปทำร้ายหรือข่มขู่พยาน

วันที่ 15 กรกฎาคม 2556 เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัว เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ จากห้องขังนำตัวไปฝากขังที่ศาลจังหวัดมีนบุรี โดยแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมอีก 4 ข้อหา คือ มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต, พกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้ผู้อื่นตกใจกลัวโดยการใช้กำลังขู่เข็ญ และขัดขืนคำสั่งเจ้าพนักงาน รวม 8 ข้อหา เพิ่มพร้อมคัดค้านการประกันตัว


หลังจากนั้น พญ.นิธิวดี ภู่เจริญยศ ภรรยา เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ พร้อมญาติ ปลอมหนังสือมอบอำนาจเข้าไปไขเอาทรัพย์สินมูลค่า 60 ล้านบาทของ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ในตู้เซฟที่ธนาคารกสิกรไทย สุขาภิบาล 3  โดยทาง เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เขียนจดหมายถึงสรยุทธ (ขณะอยู่ในห้องคุมขัง และยังไม่ทราบว่าทรัพย์สินถูกนำออกจากเซฟ)

วันที่ 19 สิงหาคม 2556  คดีถูกโอนไปยังศาลทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม และมีการยื่นขอประกันตัวเป็นครั้งที่ 4 กระทั่งศาลอนุญาตให้ปล่อยตัว เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ชั่วคราว หลังจากหมอนิ่มคัดค้านมา 3 ครั้ง

หลังออกจากเรือนจำแล้ว เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ได้ปรึกษาปัญหาครอบครัวและเคยเปรยกับพยานสำคัญรายหนึ่งว่า "จะมีลมหายใจอยู่ถึงเมื่อไรยังไม่รู้" ส่วนทางคนในครอบครัวของหมอนิ่มเองก็เคยทะเลาะเบาะแว้งกับ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ทั้งเคยชี้หน้าด่าทอและเคยถูกขู่ฆ่าเอาชีวิตกันด้วย

พยานปากสำคัญ ยังเผยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกว่า ในครอบครัวของหมอนิ่ม จะมี "แม่ใหญ่" ซึ่งเป็นแม่ของพี่ชายต่างมารดาของหมอนิ่ม ที่หมอนิ่มเคารพนับถือ โดยเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ได้ทะเลาะกับหมอนิ่มหลายต่อหลายครั้ง และพยายามจะขอคืนดีด้วย แต่หมอนิ่มไม่ยอม ด้านเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ จึงโทรไปขอความช่วยเหลือจากแม่ใหญ่ หวังให้ครอบครัวกลับมาอบอุ่นเหมือนเดิม

เมื่อแม่ใหญ่รับปากว่าจะช่วยให้ทั้งคู่คืนดีกัน เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ดีใจมาก แต่ฝั่งแม่ใหญ่ลืมกดวางสายโทรศัพท์ ทำให้เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ได้ยินว่าแม่ใหญ่คุยกับคนในครอบครัวประมาณ 3-4 คน ด่าทอเจ้าตัวอย่างสาดเสียเทเสีย และมีการวางแผนกำจัดให้พ้นออกไปจากครอบครัว อีกทั้งยังมีการพูดถึงทรัพย์สินหลายอย่างด้วย ทำให้เอ็กซ์เก็บอารมณ์ไม่อยู่ เดินทางไปอาละวาดที่บ้านแม่ใหญ่ทันที และได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า "ถ้ากูพกปืนได้เหมือนเมื่อก่อน พวกมึงจบไปแล้ว"

4 กันยายน 2556 เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ แจ้งความว่า ถูกภรรยาลักลอบขนทรัพย์สินในตู้นิรภัย ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาสุขาภิบาล 3 ทั้งที่เคยตกลงกับธนาคารไว้แล้วว่า เอ็กซ์ เพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถเปิดตู้นิรภัยนี้ได้ แต่ทางธนาคารกลับยินยอมให้ภรรยาเข้าไปเปิดตู้โดยไม่ต้องเซ็นเอกสารใด ๆ เลย ดังนั้น จึงเชื่อว่าน่าจะมีผู้เบื้องหลังพยายามจะดิสเครดิต แต่ทว่า หมอนิ่มปฏิเสธข้อกล่าวหาลักทรัพย์จากตู้เซฟของธนาคาร โดยระบุว่า ก่อนหน้านี้ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เคยมอบกุญแจเซฟไว้ให้ 1 ดอก และอนุญาตให้ไขได้ตลอดเพราะถือเป็นทรัพย์สินร่วมกัน โดยเล่าว่าในช่วงที่ไปเยี่ยม เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ในเรือนจำ โดนขู่ว่าหากออกจากเรือนจำไปได้จะนำทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมดไปซื้อรถยนต์และไปอยู่กับผู้หญิงคนใหม่ และในฐานะแม่จึงต้องกันทรัพย์สินส่วนหนึ่งไว้เพื่อลูก จึงได้เข้าไปเปิดตู้นิรภัย แต่หยิบมาเฉพาะทรัพย์สินส่วนตัวบางส่วนที่ทำร่วมกันมา

หมอนิ่ม ยังบอกด้วยว่า หลังจาก เอ็กซ์ ออกจากเรือนจำมา แม้จะไม่มีพฤติกรรมข่มขู่ ติดตาม ทำร้ายอย่างชัดเจน แต่มีคำพูดบางอย่างที่ทำให้ไม่สบายใจ เพราะเคยขู่ว่าจะทำให้หมอนิ่มหมดอนาคตในวิชาชีพด้วยการทำให้ถูกยึดใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ และเอ็กซ์ ก็เคยพูดว่า จะทำให้เกิดโศกนาฏกรรมสมบูรณ์แบบ ซึ่งหมายถึงการฆ่าทุกคนให้ตายและฆ่าตัวเองตายตามเพื่อจะได้ไม่มีใครต้องรับโทษ หมอนิ่มจึงต้องขอให้กรมคุ้มครองสิทธิฯ ช่วยคุ้มครองตัวเองและลูกทั้ง 2 คน

อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจก็คือ หมอนิ่ม ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ตนเองเพิ่งแท้งลูกที่ตั้งครรภ์ได้ประมาณ 2 เดือนครึ่ง เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และเพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อ 2-3 วันก่อน ซึ่งสาเหตุที่แท้งอาจเป็นเพราะความเครียด และตนอาจจะอายุมากแล้ว แต่ยังต้องทำงานอยู่ พร้อมยืนยันว่าไม่ได้ถูกทำร้ายจนแท้ง

19 ตุลาคม 2556  เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ถูกคนร้ายขับมอเตอร์ไซค์ ประกบยิงเสียชีวิตคารถปอร์เช่ สีดำ บริเวณหน้าวัดบางเพ็งใต้ สุขาภิบาล 3 เขตมีนบุรี ซึ่งทางหมอนิ่ม พอได้รับรู้ข่าวนี้ ก็รีบมายังที่เกิดเหตุภายใน 5 นาที พร้อมกับช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนนำตัวเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ส่งโรงพยาบาลเสรีรักษ์ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

เจ้าหน้าที่ตำรวจวิเคราะห์ว่า คนร้ายที่ยิงเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ มีอยู่ 2 คน ได้แก่ คนขับ 1 คน และคนยิง 1 คน ใช้รถจักรยานยนต์ของผู้หญิง โดยที่คาดว่าคนร้ายน่าจะเป็นมืออาชีพ เนื่องจากยิงไปที่จุดตายและเล็งที่เบาะคนขับเพียงอย่างเดียว

ขณะที่การสอบสวนหมอนิ่ม ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุได้โทรศัพท์คุยกับเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เรื่องปรับปรุงห้องนอนลูกที่บ้านพักในซอยรามคำแหง 174 ซึ่งทางเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ก็เรียกหมอนิ่มไปคุยที่บ้าน หลังนั้น แต่ว่าแม่หมอนิ่ม เห็นว่ามืดแล้ว ไม่น่าออกไป ดังนั้น เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ จึงขับรถจากบ้านพักซอยรามคำแหง 174 มาที่บ้านพักหมอนิ่มซอยรามคำแหง 162 แทน โดยมีนางสาวหวาน สาวใช้พม่าติดตามมาด้วย เนื่องจากมีพี่สาวทำงานที่บ้านของหมอนิ่ม

สำหรับสาเหตุที่หมอนิ่มไปยังที่เกิดเหตุได้เร็ว เพราะนางสาวหวานโทรหาในทันทีหลังเกิดเหตุ และบ้านหมอนิ่มกับจุดเกิดเหตุไม่ไกลกันมากนัก ทั้งนี้ ตำรวจไม่สงสัยในคำให้การของหมอนิ่มและนางสาวหวาน เนื่องจากสอดคล้องกัน

ส่วนทางพ่อและแม่เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เดินทางมารับศพลูกชายที่โรงพยาบาล เพื่อสวดพระอภิธรรมที่วัดพระศรีมหาธาตุ เป็นระยะเวลา 5 วัน

ตำรวจเริ่มมุ่งเป้าการสังหารเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ไปที่ปมพระเครื่อง เนื่องจากมีข่าวว่านำพระเครื่องไปขายให้หมอหรือคนมีสี โดยที่หมอนิ่มได้เข้ามาสอบปากคำเพิ่มเติมว่า ไม่เคยรู้เรื่องปัญหาพระเครื่องของเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ และไม่ติดใจการเสียชีวิต

ขณะที่นายไชยา สะสมทรัพย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ก่อนที่เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ จะถูกลอบยิงนั้น ได้มาพบนายไชยาที่บ้านพัก จ.นครปฐม 4 ครั้ง โดยที่ไม่ได้พูดถึงปัญหาในสนามพระ พูดแต่เพียงว่าพระของตัวเองหายเพราะถูกหมอนิ่มเอาไป นอกจากนี้ ทำไมธนาคารถึงปล่อยให้หมอนิ่มเข้า ไปรื้อตู้เซฟ นำทรัพย์สินกว่า 30-40 ล้านบาทออกไปได้ เตรียมจะฟ้องธนาคาร แต่นายไชยาได้ห้ามปรามเอาไว้ เพราะกลัวชีวิตคู่จะมีปัญหา ซึ่งการพูดถึงภรรยา เป็นการพูดคุยแค่ครั้งเดียว ส่วนที่เหลือมากินข้าวด้วยกันธรรมดาเท่านั้น

นอกจากนี้ หมอนิ่ม, พ่อและแม่ของเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ยังให้สัมภาษณ์รายการเจาะข่าวเด่นด้วยว่า หลังจากที่เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ออกจากเรือนจำ หมอนิ่มและเอ็กซ์ ก็พูดคุยกันมากขึ้น แวะไปหาลูกที่บ้านบ่อย ๆ อีกทั้ง เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ใจเย็น รู้จักคำว่าขอโทษ แต่ทางหมอนิ่มก็ยังไม่ขอย้ายกลับไปอยู่ด้วยกัน เนื่องจากตนเองเป็นลูกคนเดียว และจากเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้แม่ไม่สบายใจและเป็นห่วงมาก ตนเองจึงต้องอยู่กับแม่ก่อน

 ส่วน น้องชม ลูกสาวคนโตนั้น ยังไม่ทราบว่าพ่อเสียชีวิตแล้ว เนื่องจาก หมอนิ่ม บอกกับลูกสาวว่า พ่อไปอยู่กับน้องที่เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้

 "เมื่อกลางปี นิ่มแท้งลูกคนหนึ่ง พี่เอ็กซ์เขาตั้งชื่อไว้ตั้งแต่เดือนมกราคมว่า ชื่อ อภัยกัน เป็นชื่อที่เขาชอบมาก แต่พอนิ่มแท้ง น้องชมก็บอกว่าน้องอภัยกันไม่สบาย น้องอภัยกันเหงาต้องอยู่คนเดียว เดี๋ยวปาป๊าไปอยู่เป็นเพื่อนก่อน"... หมอนิ่ม กล่าวไว้ในการสัมภาษณ์รายการเจาะข่าวเด่น
ตำรวจเริ่มมุ่งเน้นประเด็นไปที่ความขัดแย้งในครอบครัวเป็นหลัก เนื่องจากสืบสวนพบว่า เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เคยมีปากเสียงอย่างรุนแรงกับพี่ชายต่างมารดาของหมอนิ่ม และพี่ชายคนนี้ก็เป็นผู้พาหมอนิ่มไปหานางปวีณา ทำให้เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ต้องติดคุก

นอกจากนี้ ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งคือ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เตรียมแถลงข่าวเปิดโปงผู้อยู่เบื้องหลังการนำทรัพย์สินออกจากตู้เซฟ โดยได้ติดต่อนักข่าวคนหนึ่งเอาไว้ เพื่อแถลงข่าวในวันที่ 18 ตุลาคม 2556 แต่ว่ามี เสธ. คนหนึ่ง บอกให้ยุติการแถลงข่าวและยกฟ้องธนาคารกสิกรไทย

พร้อมกันนั้น จดหมายที่เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เขียนถึงนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2556 ได้ถูกเผยแพร่ มีใจความว่า ทางหมอนิ่มและแม่ของตนถูกเพื่อนคนหนึ่ง ยศ พ.ต.ท. พูดคุยและกล่อมว่าเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ติดยาเสพติด ทำให้ทางครอบครัวเกิดความกลัวและกังวลใจ นอกจากนี้ยังยุให้เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เปลี่ยนนายประกัน และเกลี้ยกล่อมให้เข้ารักษา อาการทางจิต เพื่อทำให้กลายเป็นบุคคลไร้สภาพ ไม่มีอำนาจจัดการด้านทรัพย์สิน ขณะที่ตู้เซฟของธนาคารกสิกรไทย จะถูกเปิดได้นั้นจะต้องมีลายเซ็นของเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ และกุญแจ 1 ดอกเท่านั้น

ขณะที่ พ.ต.ท.รัฐวิทย์ แสนทวีสุข บุคคลที่ถูกเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ กล่าวถึงในจดหมาย ก็ออกมายืนยันว่า ไม่ได้หวังฮุบสมบัติของเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ แต่อย่างใด แต่ที่ทำไปเพราะต้องการให้เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เลิกยา เนื่องจากตนกับหมอนิ่มสนิทกัน จึงทำให้รับรู้ปัญหาในครอบครัวว่า เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ทำร้ายหมอนิ่มจนไม่กล้าเข้าใกล้ ส่วนประเด็นในจดหมายที่บอกว่าไม่ชอบตน นั่นเป็นเพราะตนหลอกเอ็กซ์ไปบำบัดยาเสพติด

ในเวลาต่อมา พ.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้ตัดประเด็นความขัดแย้งที่สมาคมยิงปืนออกไป ถัดจากประเด็นพระเครื่อง และมุ่งเน้นสืบสวนในเรื่องปัญหาภายในครอบครัวแทน ซึ่ง ตำรวจเริ่มมุ่งเน้นไปที่ประเด็นครอบครัวอย่างชัดเจน เนื่องจากได้รับรายงานว่า วันที่ 15 ตุลาคม 2556 ซึ่งเป็นวันก่อนเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เสียชีวิต 4 วัน เอ็กซ์และหมอนิ่มมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง มีการพยายามทำร้ายหมอนิ่ม ก่อนที่เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ จะขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ ตำรวจจึงตั้งข้อสันนิษฐานว่า คนใกล้ตัวหมอนิ่มเป็นผู้บงการ เนื่องจากทนพฤติกรรมเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ไม่ไหว

ส่วนคนร้ายนั้นต้องเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการยิงปืนเป็นอย่างมาก เพราะใช้ปืนขนาด 7.65 ที่น่าจะผลิตตามชายเเดนประเทศรัสเซีย และดัดแปลงปืนให้สามารถใช้กับกระสุนปืนขนาด 9 มม. ได้  และ เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่า ก่อนที่มือปืนจะยิงเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ จนเสียชีวิตนั้น ดูจากลักษณะแล้ว ไม่ใช่การสะกดรอยตาม แต่เป็นการส่งซิกและยิง นั่นหมายถึงว่า อาจจะเป็นคนในครอบครัวซึ่งรู้ความเคลื่อนไหวของเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เป็นอย่างดี เป็นผู้บอกข้อมูล ซึ่งอาจจะเป็นพี่ชายต่างมารดาทั้ง 2 คนของหมอนิ่มก็เป็นได้

5 พฤศจิกายน 2556   เจ้าหน้าที่ตำรวจพุ่งประเด็นการสังหารไปยังความขัดแย้งระหว่าง เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ และครอบครัวของหมอนิ่ม พญ.นิธิวดี ภู่เจริญยศ โดยออกหมายเรียกเครือญาติของ หมอนิ่มมาทำการสอบสวนมี 4 คน ประกอบด้วย พี่ชายต่างมารดาของหมอนิ่ม นายโต้ง นายหนุ่ย และนายทหารอีกคนหนึ่ง และฝ่ายสืบสวนยังพบเบาะแสผู้ต้องสงสัยที่คาดว่าเป็นทีมสังหารแล้ว

นอกจากนี้ ยังพบว่า เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ รู้ตัวว่ามีคนปองร้ายก่อนเสียชีวิตประมาณ 1 เดือน จนต้องเปลี่ยนที่พักบ่อยครั้ง   ด้านหมอนิ่ม ปฏิเสธข่าวที่ว่า เธอไม่ยอมตอบคำถามสื่อมวลชน และไม่ให้ความร่วมมือเข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยระบุว่า ช่วงที่ผ่านมาต้องพาลูก ๆ ไปเที่ยวทะเลตามคำสัญญาที่นายจักรกฤษณ์เคยให้ไว้กับลูก พร้อมกับยอมรับว่า เคยทะเลาะกับนายจักรกฤษณ์ก่อนจะเกิดเหตุลอบยิงไม่กี่วันจริง แต่สาเหตุเกิดจากนายจักรกฤษณ์เข้าใจผิดว่าตนแชทคุยโทรศัพท์กับคนอื่นในร้านทำผม จึงเดินมาถามเฉย ๆ ไม่ได้มีเหตุการณ์รุนแรงใด ๆ ทั้งสิ้น

วันที่ 9 พฤศจิกายน 2556 กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้แถลงข่าวการจับกุมตัวนายจิรศักดิ์ หรือจี กลิ่นคล้าย อายุ 33 ปี มือปืนลอบสังหาร เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ โดยสารภาพว่า ได้รับการว่าจ้างจากทนายอี๊ด นายสันติ ทองเสน ด้วยค่าจ้าง 2 แสนบาท โดยแบ่งกับนายอ้น ธวัชชัย เพชรโชติ คนขับขี่รถจักรยานยนต์คนละ 1 แสนบาท ก่อนแยกย้ายกันหลบหนี

พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมชุดสืบสวนได้แถลงข่าวการจับกุม น.ส.วรพรรณภูรี มนตรีอารีกุล หรือ เจ๊แหม่ม ผู้จัดหาทีมสังหารนายจักรกฤษณ์ โดยให้การรับสารภาพว่ารับจ้างจาก นางสุรางค์ ดวงจินดา มารดาของพญ.นิธิวดี และพญ.นิธิวดี ในราคา 1.2 ล้านบาท

โดย เจ๊แหม่ม สารภาพว่า ก่อนเกิดเหตุ 3-4 เดือน นางสุรางค์ได้มาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี เพราะลูกสาวถูกนายจักรกฤษณ์ทำร้ายเป็นประจำ จากนั้นในวันที่ 29 กรกฎาคม 2556 ตนจึงพา นายสันติ ทองเสม หรือทนายอี๊ด ซึ่งมีความสามารถในการจัดหามือปืน ไปพบนางสุรางค์ที่โรงพยาบาล และต้องแอบคุยกัน เนื่องจากหมอนิ่มนอนพักรักษาตัวจากการแท้งลูกอยู่บนเตียง

"รู้จักกับน้องนิ่ม คุณแม่และน้องเอ็กซ์มานาน กว่า 7 ปี แล้ว ทราบข่าวว่าน้องเอ็กซ์ทำร้ายภรรยาโดยตลอด วันเกิดเหตุน้องนิ่มแท้งลูกเข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.เสรีรักษ์ คุณแม่ได้เรียกแหม่มไปพบที่โรงพยาบาล ขอความช่วยเหลือให้ช่วยจัดการเรื่องนี้ให้หน่อย จึงพาทนายไปพบและได้คุยกับแม่ ซึ่งแอบคุยโดยที่หมอนิ่มเองนอนอยู่บนเตียง ทนายอิ๊ดขอค่าดำเนินการ 6 แสน ซึงดิฉันไม่รู้ว่าดำเนินการอย่างไร ต่อมาผ่านไปสักระยะทนายอี๊ดแจ้งว่างานยังไม่เรียบร้อยขอค่าดำเนินการเพิ่มอีก 6 แสนบาท ซึ่งหลังได้เงินงวดสุดท้าย ไม่สามารถติดต่อทนายอี๊ดได้เลย"

11 พฤศจิกายน 2556  นางสุรางค์ ดวงจินดา แม่หมอนิ่มเข้ามอบตัวรับทราบข้อกล่าวหา โดยรับสารภาพว่าจ้างมือปืนฆ่าเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ จริง เพราะแค้นที่ลูกสาวโดนซ้อมบ่อย ๆ แม้ว่าในช่วงที่ลูกสาวท้องลูกคนที่ 3 อยู่ แต่ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ก็ยังทำร้ายจนทำให้แท้งลูก นอกจากนี้ เอ็กซ์ ยังเคยเอาปืนมาขู่ตนด้วย จึงทนไม่ไหว 

"กระทั่งมีปัญหาครั้งล่าสุดที่มี การร้องขอความช่วยเหลือจากนางปวีณา แล้วเอ็กซ์ต้องเข้าเรือนจำพอออกมาแล้วคิดว่าเอ็กซ์ จะดีขึ้นแต่ก็ยังไม่ดี ยังทำร้ายทุบตียิ่งร้ายขึ้นทุกวันไม่ใช่ว่าทำน้อยลง ก่อนมาแจ้ง รมว.พม. ก็ทำร้ายจนหมอนิ่มแท้ง เขาทำได้อย่างไรทั้งที่รู้ว่ามีลูก ถามว่าทุกคนจะทำใจได้หรือไม่ ส่วนตัวแม่ทำใจไม่ได้ เมื่อเป็นแบบนี้แล้วจะรอให้ลูกตายก่อนหรือ แม่ทนไม่ได้ที่จะเป็นแบบนั้น"

ด้าน พญ.นิธิวดี ให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกเสียใจที่แม่ต้องมาทำผิดเพราะตน ซึ่งสาเหตุที่แม่ทำเช่นนี้เพราะทนไม่ได้ที่นายจักรกฤษณ์ทำร้ายตนเองมาตลอด แม้แต่ตอนที่ตนท้องลูกคนที่ 3 นายจักรกฤษณ์ก็ทราบว่าตนท้อง แต่ก็ยังทำร้ายจนแท้งลูก 

"พี่เอ็กซ์ใช้ความรุนแรงมาโดยตลอดและมากขึ้นเรื่อย ๆ แม่ทนไม่ได้ แม่เจ็บกว่าเรามาก แม่เห็นอยู่เป็นประจำ ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อท้องคนที่ 3 พี่เอ็กซ์ก็ทราบว่าดิฉันท้องอยู่ แต่ก็ยังทำร้าย คนเป็นแม่จะรู้สึกอย่างไร ดิฉันแท้งลูก แม่ดิฉันเจ็บกว่าดิฉันมาก โดยพี่เอ็กซ์ได้ชกที่ท้องหลายครั้งตอนที่ท้อง เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แท้งร่วมกับสาเหตุอื่น ๆ มาประกอบ"
ภายหลัง ตำรวจ สน.มีนบุรี ให้ นางสุรางค์ ดวงจินดา แม่หมอนิ่ม พญ.นิธิวดี ภู่เจริญยศ ประกันตัวสู้คดีในชั้นศาล โดยใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสด 5 แสนบาท เนื่องจากเห็นว่าผู้ต้องหาไม่มีเจตนาหลบหนี และเข้ามอบตัวเอง ซึ่งจากการสอบประวัติไม่เคยทำความผิด หรือเป็นผู้มีอิทธิพลใด ๆ 
  
นายสันติ ทองเสม หรือทนายอี๊ด ที่ถูกพาดพิงว่าเป็นผู้ว่าจ้างและจัดหามือปืน ได้เข้ามอบตัวกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ และปฏิเสธว่าเป็นผู้จ้างวานฆ่านายจักรกฤษณ์ โดยยอมรับว่า รู้จักเจ๊แหม่มจริง เพราะเคยทำคดีเกี่ยวกับหนี้สินให้ แต่ไม่ได้สนิทสนมเป็นการส่วนตัว ส่วนนายจิรศักดิ์ที่เป็นมือปืนนั้น ก็เคยเจอกันจริง  แต่ส่วนตัวไม่รู้ว่านายจิรศักดิ์ประกอบอาชีพอะไร พร้อมยืนยันว่า ไม่เคยพบ หรือรู้จักมารดาของหมอนิ่มมาก่อน

19 ธ.ค.2559 ศาลจังหวัดมีนบุรีตัดสินประหารชีวิต พญ.นิธิวดี ภู่เจริญยศ  หรือ "หมอนิ่ม" ฐานจ้างวานฆ่าสามี ส่วนนางสุรางค์ มารดาของหมอนิ่มให้ยกฟ้อง ขณะที่นายสันติ หรือทนายอี๊ด พิพากษาให้ประหารชีวิตสถานเดียวเช่นกัน  สำหรับ 2 มือปืนที่ลั่นไกสังหาร ให้จำคุกตลอดชีวิต

ยกฟ้อง "หมอนิ่ม"