ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) รวบผู้ต้องหาขบวนการยักยอกเงิน 41 ล้าน ของมูลนิธิศูนย์ส่งเสริมพระพุทธฯ จับกุมได้ที่คอนโดแห่งหนึ่ง

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป., พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.เอกสิทธิ์ ปานสีทา ผกก.4 บก.ป., พ.ต.ท.ศุภกร ตังคะประเสริฐ, พ.ต.ท.เจษฎา แก้วจาเครือ, พ.ต.ท.เอนก บุญตา, พ.ต.ท.อรรถวิทย์ สุขทัศน์ รอง ผกก.4 บก.ป.

 

รวบคาห้อง ผู้ต้องหาขบวนการยักยอกเงิน 41 ล้าน มูลนิธิศูนย์ส่งเสริมพระพุทธฯ

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ต.ณรงค์ หาญสันเทียะ, พ.ต.ต.อัคนี ณ บางช้าง สว.กก.4 บก.ป., พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ป. 

ร่วมกันจับกุม นายชะโลมฯ อายุ 52 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ที่ 12/2565 ลงวันที่ 12 กันยายน 2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน "ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ ความผิดต่อพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ลักทรัพย์"

รวบคาห้อง ผู้ต้องหาขบวนการยักยอกเงิน 41 ล้าน มูลนิธิศูนย์ส่งเสริมพระพุทธฯ

 

สถานที่จับกุม บริเวณคอนโดแห่งหนึ่งย่าน ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร

พฤติการณ์ สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2559 มูลนิธิศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ได้มีมติให้ย้ายเงินฝากจากธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ไปยังธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนร่มเกล้า 

ต่อมาเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2559 พระครูปลัดสุชาติฯ ประธานมูลนิธิศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กับ นายชาญบุณฑ์ฯ กรรมการ และเหรัญญิก ของมูลนิธิศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ผู้ต้องหาที่ 1 ได้นำฝากแคชเชียร์เช็ค ของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ไปเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประเภทเงินฝากประจำ จำนวน 41,045,966.67 บาท แต่เนื่องจากเป็นวันศุกร์ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ต้องเรียกเก็บเงิน ตามเช็คไปยังธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อนำเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในวันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม 2559 นายวิรัตน์ฯ ผู้ต้องหาที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จึงให้นายชาญบุณฑ์ฯ ผู้ต้องหาที่ 1 และพระครูปลัดสุชาติ ฐานจาโร ลงชื่อในใบนำฝากเงิน และใบถอนเงินที่ยังไม่ได้กรอกข้อความไว้ 
 

รวบคาห้อง ผู้ต้องหาขบวนการยักยอกเงิน 41 ล้าน มูลนิธิศูนย์ส่งเสริมพระพุทธฯ

 

ต่อมาเมื่อธนาคารกรุงไทยฯ สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คเพื่อนำเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทยฯ ได้แล้วนายวิรัตน์ฯ  ผู้ต้องหาที่ 2 ได้ถอนเงินจำนวน 41,045,966.67 บาท นำเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทยฯ ประเภทเงินฝากประจำ ของมูลนิธิศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย และได้ใช้เอกสารสิทธิใบถอนเงินที่มีลายมือชื่อปลอมของพระครูปลัดสุชาติฯ ทำการถอนเงินจำนวนเดียวกันจากบัญชีธนาคารกรุงไทยฯ ประเภทฝากประจำ ของมูลนิธิศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ไปยังบัญชีธนาคารของบริษัท โอเวอร์ซี เพาเวอร์ จำกัด 

ต่อมา วันที่ 13 กันยายน 2559 บริษัท โอเวอร์ซี เพาเวอร์ จำกัด ได้ถอนเงินจำนวน 6,100,000 บาท และนำเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทยฯ ประเภทออมทรัพย์ ของมูลนิธิศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นผลตอบแทนร้อยละ 5 ที่จะให้กับมูลนิธิศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย 

จากนั้นบริษัท โอเวอร์ซี เพาเวอร์ จำกัด ถอนเงินจากบัญชีธนาคารกรุงไทยฯ นำเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ของนายชาญบุณฑ์ฯ ผู้ต้องหาที่ 1 รวมเงิน จำนวน 30,000,000 บาท และนายชาญบุณฑ์ฯ ได้ถอนเงินจากบัญชีธนาคารของตนนำฝากเข้าบัญชี ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ของบริษัท กวิณลักษณ์ จำกัด เป็นจำนวนหลายครั้ง รวมจำนวนเงิน 30,000,000 บาท มูลนิธิศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย จึงร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ กองบังคับการตำรวจนครบาล 3 ให้ดำเนินคดีกับนายชาญบุณฑ์ฯ กับพวก

ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ป. สืบสวนทราบว่า นายชะโลมฯ หลบหนีการจับกุมและพักอาศัยอยู่ที่ย่านรามคำแหง-หัวหมาก จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบบุคคลมีตำหนิรูปพรรณตรงกันกับ นายชะโลมฯ จำเลยตามหมายจับนี้ เดินออกมาจากห้องพักเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและเข้าจับกุมตัวนำส่ง ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น  ให้การรับว่า ตนรู้จักกับผู้ต้องหาทั้งในส่วนของมูลนิธิฯ และบริษัทฯ จึงได้เป็นผู้ออกอุบายหาช่องทางยักยอกเอาเงินออกจากมูลนิธิฯ