258 ปีที่รอคอย เชื้อสายราชวงศ์บ้านพลูหลวงเยือนอยุธยาอีกครั้ง

258 ปีที่รอคอย เชื้อสายราชวงศ์บ้านพลูหลวงเยือนอยุธยาอีกครั้ง นับตั้งแต่การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2310

ราชวงศ์บ้านพลูหลวง รุ่นที่ 7 นับเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำ เมื่อเชื้อสายราชวงศ์บ้านพลูหลวง ได้เดินทางกลับมาเยือนกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งในรอบ 258 ปี นับตั้งแต่การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2310 การกลับมาในครั้งนี้เป็นการเดินทางมาจากประเทศพม่า เพื่อมากราบไหว้บรรพบุรุษ และรำลึกถึงอดีตอันรุ่งเรืองของราชวงศ์บ้านพลูหลวง ราชวงศ์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา

 

258 ปีที่รอคอย เชื้อสายราชวงศ์บ้านพลูหลวงเยือนอยุธยาอีกครั้ง

เมื่อเพจ Ayutthaya Tourism and Sports ทายาทเชื้อสายราชวงศ์บ้านพลูหลวง กลับมาเหยียบแผ่นดินบรรพบุรุษอีกครั้ง ณ พระราชวังโบราณ ใจกลางอยุธยา อากาศที่เหมือนจะเข้าสู่ฤดูร้อนอบอ้าว กลับกลายเป็นความเย็นสบาย เมื่อคณะเยี่ยมชมพระราชวังโบราณได้พักใหญ่ ฝนเม็ดเล็กๆตกปรอยลงมาไม่หนาแน่น แต่ก็ไม่เบาให้เดินฝ่าได้ง่ายๆ เหมือนมีบางสิ่งที่อยากดลใจให้สายโลหิตของอดีตบูรพกษัตริย์ที่นี่ต้องหลบฝนอยู่ข้างใน ให้ใช้เวลาในสถานที่แห่งนี้นานไปอีกสักหน่อยหนึ่ง

 

ท่านดอเกสี (KAY THI TUN SHEIN) หญิงสูงวัยสัญชาติเมียนมาที่แต่งกายอย่างภูมิฐานสมวัย นั่งเหม่อมองไปยังต้นไม้และเหล่าซากโบราณสถานในที่ๆเคยเป็นศูนย์กลางอาณาจักรอยุธยากว่า 417 ปี หลังจากทีมงานจากสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและน้องๆปลากระป๋อง school นำพวงมาลัยมาสวัสดีต้อนรับ และสัมภาษณ์ถึงเรื่องราวต่างๆมากมาย

 

258 ปีที่รอคอย เชื้อสายราชวงศ์บ้านพลูหลวงเยือนอยุธยาอีกครั้ง

คุณดอเกสีได้รับพวงมาลัยพร้อมน้ำตารื้น ก่อนจะให้สัมภาษณ์ "ภาคภูมิใจและปลาบปลื้มใจมากที่ได้มาที่นี่ ที่ๆบรรพบุรุษเล่าให้ฟังกันมาจากรุ่นสู่รุ่น" สายตระกูลท่านเป็นทายาทจากสายของพระนางกุมมะเทวี มเหสีของพระเจ้ามินดง ซึ่งพระนางคือพระราชปนัดดา (เหลน) โดยตรงของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ กษัตริย์พระองค์สุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา

เหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยา เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย นอกจากการสูญเสียชีวิตและบ้านเมืองแล้ว ยังมีชาวอยุธยาจำนวนมหาศาลที่ถูกกวาดต้อนไปยังแผ่นดินพม่า เช่นเดียวกับบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ในตอนนั้นที่ถูกนำไปพม่ากว่า 2,000 พระองค์

ในเวลาต่อมา เจ้าหญิงอยุธยาจำนวนมากได้เป็นพระสนม หรือแต่งงานกับบรรดาเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของพม่า และมีทายาทสืบต่อมา จนกระทั่งพม่าเสียเอกราชให้อังกฤษ บรรดาเชื้อพระวงศ์ต่างก็ต้องแยกย้ายใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชน เช่นเดียวกับทายาทของเจ้านายเชื้อสายราชวงศ์บ้านพลูหลวง มีเรื่องเล่าของสายตระกูลที่น่าสนใจมากมาย ตกทอดถึงท่านดอเกสี เช่น เหตุการณ์คืนวันเสียกรุง 7 เมษายน 2310 ที่เล่าถึงเสียงระเบิด การหนีเอาตัวรอด และสถานที่สิ้นพระชนม์ของพระเจ้าเอกทัศ ซึ่งในตระกูลเล่าว่าสิ้นพระชนม์ ณ "ป้อมประตูชัย"

การเลือกแต่งงานกันในบรรดาเจ้านายที่มีเชื้อสายอยุธยา แม้เวลาผ่านไปลูกหลานส่วนหนึ่งก็ยังเลือกจะแต่งงานกับไทยใหญ่ เชียงตุง (ซึ่งสำหรับชาวพม่าจะเชื่อว่ามีความใกล้ชิดกับไทยมากที่สุด) มากกว่าจะแต่งงานกับพม่า
โดยสามีของท่านดอเกสีเองก็เป็นชาวเชียงตุง

ยังมีเรื่องการเก็บรักษาเถ้ากระดูกของบรรพบุรุษสายบ้านพลูหลวงที่ท่านเล่าว่า จะเก็บไว้ที่ "สุสานลินซินโกง" แม้นักวิชาการไทยจำนวนหนึ่งได้เคยสรุปว่าที่นั่นไม่ใช่ที่เก็บพระอัฐิของพระเจ้าอุทุมพร แต่สายตระกูลท่านได้เล่าต่อกันมาว่า พระอัฐิของพระเจ้าอุทุมพรอยู่ที่นั่น เช่นเดียวกับเถ้ากระดูกสายตระกูลท่านอื่นด้วย และยังมีการรวมญาติสายราชวงศ์บ้านพลูหลวงเพื่อไปสักการะบรรพบุรุษที่นั่นอยู่ถึงปัจจุบัน

ยังมีเกร็ดเรื่องเล่าอีกมากมายที่น่าสนใจ เติมเต็มหัวใจของคนรักประวัติศาสตร์อยุธยาได้ไม่น้อย
การเดินทางมาครั้งนี้นำโดยคุณ ปัณณพัทธิ์ คำนึง นักวิชาการอิสระที่ทุ่มเทศึกษาเรื่องราวของเชื้อสายราชวงศ์บ้านพลูหลวงในฝั่งพม่ามาอย่างยาวนาน และได้รับการสนับสนุนและประสานจากภาคส่วนต่างๆมากมาย
เช่น สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

สำนักงานอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา รวมถึงเด็กๆอยุธยา ปลากระป๋อง school ที่ปีก่อนได้ผลิตสื่อล้านวิว พาคนดูเดินทางไปตามหาร่องรอยบรรพบุรุษอยุธยาที่ประเทศพม่า ซึ่งครั้งนี้ น้องๆกลับมาทำการต้อนรับเชื้อสายอยุธยากลับมาเยือนกรุงเก่า จนท่านดอเกสีปลาบปลื้มและเรียกเด็กๆด้วยภาษาไทยว่า "ลูกชาย"
และยังมีหลายบุคคลและภาคส่วนที่มาร่วมต้อนรับอย่างอบอุ่นอีกด้วย

เหตุการณ์นี้อาจเป็นภาพประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่ง ที่บุคคลอันมีเชื้อสายราชวงศ์บ้านพลูหลวงได้กลับมาเยือนดินแดนอยุธยา โดยได้รับการต้อนรับและความสนใจจากชาวไทยจำนวนมาก เหมือนรอคอยกันมานานหลายร้อยปี
ในอดีตการเดินทางกลับมาของเชื้อสายพระเจ้าเอกทัศแทบไม่มีทางเป็นไปได้ ด้วยเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ของสังคมในยุคนั้น 

แต่กาลเวลาที่หมุนผ่านไปกว่า 258 ปี ลูกหลานของอดีตกษัตริย์ ณ ที่แห่งนี้ ได้กลับมาสักการะดวงวิญญาณบรรพบุรุษถึงใจกลางอยุธยาแล้ว
ก่อนกลับจากอยุธยา ท่านดอเกสีได้กล่าวสั้นๆว่า
”กลับไปแล้วจะบอกญาติที่พม่าว่า 
ญาติที่อยุธยา ต้อนรับเราดีมากเหลือเกิน“

 

ขอบคุณ : Ayutthaya Tourism and Sports