- 25 มิ.ย. 2568
หนุ่มใหญ่ เมียนอกใจไปกับชู้ หอบเงิน - ทองไปเกลี้ยง ขนาดลูกเลี้ยงยังบอกให้ไปหารักใหม่ แต่ไม่ยอม บอกว่ารักภรรยาคนนี้มาก
อีกหนึ่งประเด็นที่ชาวเน็ตต่างให้ความสนใจ กับกรณีของ "ศร" ถูก "ต่าย" เมียรักทิ้งไป หอบเงิน 4 แสน ทอง 4 บาท หนีไปหาชายคนใหม่ชื่อ นายรักชาติ หรือ คนในหมู่บ้านมักเรียกว่า "หรรม" แถมยังทิ้งแม่ป่วยติดเตียงให้ดูแล ซึ่ง ศร ผู้เสียหาย ได้มาเล่าเรื่องราวดังกล่าวให้ หนุ่ม กรรชัย และ ทนายแก้ว ฟังในรายการโหนกระแส
นายศร เล่าว่า เมื่อปี 47 ไปทำงานเป็นช่างปูกระเบื้องบริษัทแห่งหนึ่ง ได้เจอต่ายครั้งแรก และเขารู้ว่า ตนถูกเมียทิ้งมาซึ่งตอนนั้นต่ายมีสามีและลูกอยู่แล้ว หลังจากนั้นตนก็ออกมาอยู่กับพี่สาว เขาก็โทรมาหาตนบอกว่าเลิกกับสามีแล้ว อยากมาอยู่ด้วยกัน ตอนนั้นตนก็บอกโอเคมาอยู่ด้วยกัน และช่วยกันสร้างมาจนมีวันนี้ และก็รับลูกทุกคนมาอยู่ด้วย "เต้ย" เอามาตอน 9 เดือน ส่วน "เตย" เอามาเลี้ยงตอน 6 ขวบ
"หลังจากนั้นก็ได้มาอยู่ด้วยกัน ผมก็ไปขับแท็กซี่ ตั้งตัวได้มีเงินซื้อบ้านที่กรุงเทพฯ และมีเงินไปทำบ้านที่ต่างจังหวัด เมื่อปี 60 บอกกับต่ายว่าจะสร้างบ้าน แม่เขาก็ไปกู้เงินมาให้ ตอนนั้นหมดเงินไป 1.4 ล้านบาท และเงินเก็บอีก 3-4 แสนก็หมดเกลี้ยง" นายศร เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น
นายศร ยังได้เล่าข้อมูลของ นายหรรม รักชาติ ว่า เป็นคนอุบลราชธานี แต่ได้ไปเป็นลูกเขยที่ จ.น่าน ซึ่งตนก็เป็นคนอุบลราชธานี และเป็นลูกเขยที่ จ.น่าน เหมือนกัน ซึ่งแฟนหรรมเป็นเพื่อนของต่าย มีช่วงหนึ่งแม่ต่ายป่วย เขาจึงขอกลับมาดูแลแม่ พอมาถึงไม่เกิน 3-4 วัน หมู่บ้านจะมีงานประจำปี หรรมกับต่ายก็ไปเจอกันที่งาน และไปนั่งกินเหล้าด้วยกัน ซึ่งตอนนั้นหรรมหย่ากับเมียเกือบปีแล้ว จากนั้นเขาก็คุยกันมาเรื่อยๆ
เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา ศร ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ขณะนั้นแม่ของต่าย (ภรรยา) ล้มป่วยอย่างหนัก ตนจึงต้องให้ต่ายขับรถพาแม่ไปส่งโรงพยาบาลที่จังหวัดน่าน แต่แทนที่ภรรยาจะอยู่ดูแลแม่ กลับเปิดโรงแรมนอนกับชายอื่น ซึ่งตนทราบเรื่องทั้งหมดจากเฟซบุ๊กของทั้งสองคน ซึ่งตนเคยขอให้ภรรยาส่งชื่อโรงแรมมาให้ แต่กลับได้รับเพียงภาพเตียงในห้องพักแทน
เวลาประมาณสามทุ่ม ตนโทรวิดีโอคอลหา แต่ภรรยารับสายโดยไม่มองกล้อง ต่อมาตนจึงโทรหาผู้ชายคนนั้น เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้นภายในห้องเดียวกันก่อนจะถูกตัดสายทิ้ง และเมื่อถามภรรยาว่าทำไมถึงทำแบบนี้ ได้รับคำตอบว่าเป็นเสียงจากห้องอื่นที่เปิดหน้าต่างไว้ พร้อมตอกกลับว่า “จะมาจับผิดอะไรนักหนา แบบนี้ถึงอยากเลิก”
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ตนเคยพูดคุยกับชายคนนั้น และเขาให้คำมั่นว่า “จะไม่ยุ่งกับเมียเพื่อน” ตนพยายามให้อภัยมาตลอด เพราะรักภรรยามาก ทั้งคู่สร้างชีวิตมาด้วยกัน และรู้ความจริงมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้ว
ด้าน เตย ลูกสาวของต่าย ให้ข้อมูลว่า ตนเคยทักแชทไปหาชายคนนั้นว่า หากยังคุยกับแม่อยู่ให้หยุด แต่ถ้าไม่ได้คุยก็ขอโทษด้วย อย่างไรก็ตาม พ่อพยายามห้ามตนไม่ให้เข้าไปยุ่ง เพราะหากไปยุ่งเมื่อไร แม่จะโทรมาด่าพ่อทันที และถึงขั้นขู่ว่าจะเลิกกับพ่อ
หลังตนจับได้ จึงเดินทางไปที่จังหวัดน่าน แต่ภรรยาไม่ยอมรับอะไรเลย พร้อมพูดว่า “ถ้าจะคุยเรื่องนี้ ไม่ต้องคุย” ตนพยายามถามชื่อโรงแรมแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ อีกฝ่ายบอกว่าแม้ไปขอดูกล้องวงจรปิดก็ไม่ได้ เพราะเป็นข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า แต่ตนสามารถหาหลักฐานได้ว่า ทั้งคู่ขี่รถจักรยานยนต์เข้าโรงแรมด้วยกัน ซึ่งสร้างความเจ็บปวดจนต้องร้องไห้ระหว่างขับรถกลับกรุงเทพฯ
ต่อมา ลูกชายโทรมาบอกว่า แม่ออกจากบ้านช่วงสองทุ่ม และกลับมาตอนสี่ทุ่ม ตนจึงถามหากุญแจเซฟ พร้อมยืนยันว่าเงินทั้งหมดตั้งใจเก็บไว้ให้ลูก ถ้าแม่จะไปก็ขอให้ไปตัวเปล่า แต่กลับถูกภรรยาโต้กลับว่า “เงินต้องแบ่งครึ่ง” ตนจึงประกาศชัดว่า “ถ้ามีชู้จะไม่ให้สักบาท” และได้โอนเงินทั้งหมดที่มีเข้าบัญชีลูก จากนั้นภรรยางัดประตูเข้าไปค้นหาเซฟ แล้วนำเงินออกไป 400,000 บาท จากทั้งหมด 900,000 บาท และเอาทองไปอีก 4 บาท เหลือไว้ 5 บาท
ด้าน ดร.มนต์ชัย จงไกรรัตนกุล หรือ ทนายแก้ว ให้ความเห็นว่า หากไม่ได้จดทะเบียนสมรส สินสมรสจะไม่สามารถนำมาใช้ในคดีได้ แต่ในส่วนของกรรมสิทธิ์ร่วมสามารถใช้ได้ หากทรัพย์สินนั้นได้มาด้วยกัน ต้องแบ่งคนละครึ่ง ฝ่ายหญิงจึงมีสิทธิ์ในทรัพย์สินบางส่วน
ศรยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ตนมั่นใจ 100% ว่าอดีตภรรยาเอาเงินหนีไปกับชายคนนั้น เพราะทั้งสองคนหายออกจากพื้นที่ในเวลาเดียวกัน และจากการติดตาม GPS รถจักรยานยนต์ พบว่ารถถูกจอดทิ้งไว้ที่สถานีขนส่งจังหวัดน่าน พร้อมพบเสื้อกันฝนสองตัวภายในรถ
ส่วนเรื่องแม่ของอดีตภรรยา ตนยังคงดูแลอยู่ เพราะเห็นใจ เนื่องจากไม่มีใครดูแล ค่าใช้จ่ายทั้งหมดตนรับผิดชอบเอง อยากให้อดีตภรรยากลับไปดูแลแม่ของตนเอง เพราะแม่ป่วยติดเตียง และมักถามถึงต่ายเสมอ ตนได้แต่ปลอบใจว่า “อย่าถามหา เขาไม่อยู่แล้ว” เห็นแม่ร้องไห้บ่อย ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวด แม้ตนเองจะยังรักภรรยาอยู่ และพยายามให้อภัยมาตลอด แต่ในอนาคตก็คิดว่าจะสามารถตัดใจได้
ใบเตย ลูกสาวของต่าย กล่าวอีกว่า รักแม่มากจนถึงขั้นเสียสติ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เริ่มเปลี่ยนไป เหมือนแม่สนใจแต่โทรศัพท์ พ่อก็ถูกกล่าวหาว่าโรคจิตเพราะเฝ้าดูกล้องวงจรปิด พ่อพยายามทักไปหาแม่ แต่อีกฝ่ายไม่เคยตอบ ทั้งที่เห็นว่าเล่นโทรศัพท์อยู่ตลอด และตนเคยเห็นแชตของแม่ที่คุยกับผู้ชายคนอื่น
ล่าสุด ตนโทรคุยกับชายคนที่มีชื่อพัวพันกับแม่ ขอร้องให้หยุดยุ่งกับแม่ เพราะตนยังรักครอบครัวนี้อยู่ แต่กลับถูกตอบกลับว่า “ไม่หยุดแล้วจะทำไม” ตนถามว่าไม่สงสารกันหรือ เขากลับบอกว่า “จะไปต่อ”
ศรกล่าวปิดท้ายว่า ตนยอมรับว่าหากฝ่ายหญิงไม่เลือกตน ตนก็จะถอย เพราะหากอยู่แล้วไม่มีความสุขก็ไม่จำเป็นต้องฝืน ตนทนมาตลอดหลายเดือน แม้เขาไม่เลือกตน แต่ตนก็ยังรัก เพราะเชื่อว่านี่คือกรรมที่ตนเลือกเอง และหากเลิกกันไปแล้ว ก็จะไม่มีใครใหม่อีก
ใบเตยทิ้งท้ายว่า ตนรู้สึกโกรธแม่มาก เพราะควรจะห่วงครอบครัวมากกว่านี้ เคยบอกพ่อว่า “ทำไมไม่เลิกคนแบบนี้ จะอยู่ไปทำไม หาเมียใหม่เถอะ” แต่พ่อก็ไม่ไป เพราะพ่อสู้ พ่อรักแม่มาก แต่วันนี้พ่อก็บอกว่า “พอแล้ว”
ท้ายที่สุด ศรฝากข้อความถึงอดีตภรรยา ขอแค่กลับมาดูแลแม่ ไม่ต้องกลับมาอยู่กับตนก็ได้ เพราะแม่ถามถึงต่ายทุกวัน พร้อมฝากถึงชายคนที่เกี่ยวข้องว่า การเป็นคนอยู่ร่วมสังคมต้องมีจิตสำนึก รู้ผิดชอบชั่วดี จะเอาต่ายคืนก็ไม่ขอห้าม แต่อย่างน้อยก็อย่าลืมว่าแม่ของต่ายยังอยู่ และต้องได้รับการดูแลในวันที่ไม่มีใคร






