- 07 ก.ค. 2568
จอดรถหนีน้ำท่วม เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว มาดูเทคนิคจอดรถในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม เพื่อรับมือและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับรถของคุณให้น้อยที่สุด
มาดูวิธี “จอดรถหนีน้ำท่วม” เทคนิคสำคัญ ลดความเสียหาย เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว มาดูเทคนิคจอดรถในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม เพื่อรับมือและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับรถของคุณให้น้อยที่สุด
ทำไมต้องกังวลเรื่องน้ำท่วมรถ?
ความเสียหายจากน้ำท่วมรถไม่ได้มีแค่เรื่องเครื่องยนต์เสียหายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงระบบไฟฟ้า ระบบเบรก ห้องโดยสาร พรม เบาะ และชิ้นส่วนอื่นๆ อีกมากมายที่เมื่อโดนน้ำท่วมขังแล้วอาจเกิดสนิม เชื้อรา หรือทำให้ระบบต่างๆ รวนได้ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมก็มักจะสูงมาก หรืออาจถึงขั้นต้องยกเลิกการใช้งานรถไปเลย
เทคนิคการจอดรถหนีน้ำท่วม (และสิ่งที่คุณควรทำ)
ย้ายรถไปที่สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้: นี่คือหลักการสำคัญที่สุด มองหาพื้นที่สาธารณะที่สูงกว่าถนน เช่น ลานจอดรถในห้างสรรพสินค้า (ชั้นบนๆ), อาคารจอดรถ, หรือแม้แต่เนินดินที่มั่นคงและไม่กีดขวางการจราจร
ข้อควรระวัง: หลีกเลี่ยงการจอดใต้ต้นไม้ใหญ่หรือป้ายโฆษณาที่อาจโค่นล้มเมื่อมีลมแรง
ประเมินระดับน้ำท่วมบ่อยๆ: หากบ้านหรือที่ทำงานของคุณอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ควรติดตามข่าวสารระดับน้ำอย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมย้ายรถทันทีเมื่อมีสัญญาณเตือน
ถอดขั้วแบตเตอรี่ (ถ้าจำเป็น): หากรถจอดในที่ที่เลี่ยงไม่ได้ว่าน้ำจะท่วมถึงระดับสูง ให้พิจารณาถอดขั้วแบตเตอรี่ออก เพื่อป้องกันการลัดวงจรของระบบไฟฟ้า ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของความเสียหายหนัก (แต่ควรทำเมื่อมั่นใจในความรู้ด้านช่างยนต์ หรือให้ผู้เชี่ยวชาญทำ)
ห้ามสตาร์ทรถที่ถูกน้ำท่วม: หากรถของคุณจมน้ำไปแล้ว ห้ามเด็ดขาด ที่จะพยายามสตาร์ทเครื่องยนต์ เพราะอาจทำให้ระบบไฟฟ้าและเครื่องยนต์เสียหายหนักยิ่งกว่าเดิม ควรรอให้ระดับน้ำลดลงและเรียกช่างผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบทันที
เก็บของสำคัญออกจากรถ: ไม่ว่าจะเป็นเอกสารสำคัญ กระเป๋าเงิน โทรศัพท์มือถือ หรือของมีค่าต่างๆ ควรนำออกจากรถให้หมดก่อนที่น้ำจะท่วมถึง
เตรียมเอกสารประกันภัยรถยนต์: หากคุณมีประกันภัยรถยนต์ประเภทที่คุ้มครองน้ำท่วม (เช่น ประกันชั้น 1) ควรเตรียมเอกสารให้พร้อม เพื่อใช้ในการแจ้งเคลมและดำเนินการหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมสงบลง
อย่าจอดรถขวางทางระบายน้ำ: การจอดรถขวางทางน้ำจะยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์น้ำท่วม และอาจทำให้รถของคุณถูกกระแสน้ำพัดพาไปได้ง่ายขึ้น
หลังน้ำลด ควรทำอย่างไร?
- ห้ามสตาร์ทรถเด็ดขาด ย้ำอีกครั้ง
- ติดต่อศูนย์บริการหรือช่างผู้เชี่ยวชาญ: ให้ช่างประเมินความเสียหายและแนะนำแนวทางแก้ไขอย่างถูกวิธี
- ทำความสะอาดและอบแห้ง: หากน้ำเข้าห้องโดยสาร ต้องทำความสะอาดและทำให้แห้งสนิทโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันเชื้อราและกลิ่นอับ
- แจ้งเคลมประกัน: เตรียมเอกสารที่จำเป็นและติดต่อบริษัทประกันภัยทันที
หากอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย และทราบล่วงหน้าว่ามีแนวโน้มว่าจะเกิดน้ำท่วม ถ้าเป็นไปได้ควรรีบนำรถออกจากพื้นที่โดยเร็วที่สุด เพราะหากรอแก้ไขสถานการณ์แบบกระชั้นชิดอาจสายเกินไปหรือทำอะไรได้ไม่มาก






