- 10 ก.ค. 2568
“หมอเจด” เผยงานวิจัยใหม่ปี 2025 ชี้คนอ้วนไม่ได้อ้วนเพราะ “ขี้เกียจ” แต่เพราะกลไกร่างกายต่างกัน ต้องรู้ตัวว่าอ้วนแบบไหน ถึงจะลดน้ำหนักได้ถูกจุด
"หมอเจด" นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า
หลายคนทักมาปรึกษา
ลดน้ำหนักแล้วไม่ได้ผล คุมเข้มมาก
บางคนลดแป้งก็ลง บางคนวิ่งเช้าเย็นก็ไม่ยุบ
บางคนกินนิดเดียวแต่พุงยังมา
คือมันไม่ใช่แค่เรื่อง “กินมาก = อ้วน”
อีกต่อไปแล้วครับ
งานวิจัยใหม่ New Frontiers in Nutritional and Therapeutic Interventions for Obesity Phenotypes ปี 2025 บอกว่า
“คนอ้วน” มี 4 ประเภทหลัก ๆ ที่กลไกร่างกายทำงานไม่เหมือนกันเลย อันนี้น่าสนใจนะ
ถ้าเราเข้าใจว่าตัวเองอยู่กลุ่มไหน ก็จะเลือกทางลัดที่เหมาะกับตัวเองได้มากขึ้น
เดี๋ยวสรุปให้ฟังนะว่ามีแบบไหนบ้าง แล้วต้องปรับยังไง
1. อ้วนแบบ “สมองหิว” กินเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกพอ
เคยเป็นไหมครับ กินเยอะมากแต่ยังรู้สึกไม่อิ่ม ไม่พอ ไม่สั่งหยุด
คนกลุ่มนี้เขาเรียกว่า “Hungry Brain” คือกลไก “ความอิ่ม” มันเสียศูนย์
เพราะระบบสื่อสารระหว่างลำไส้กับสมอง (gut–brain axis) ทำงานผิดปกติ อาจจะช้าหรือรวนไปเลย
แก้ยังไงดี?
•กินให้ช้า เคี้ยวนาน ๆ ให้สมองมีเวลาประมวลผลว่าอิ่มแล้ว
•กินแบบมีสติ (Mindful Eating) ไม่ใช่กินไปเลื่อนมือถือไป
•ถ้าปรับพฤติกรรมแล้วไม่ได้ผล และมีภาวะอ้วนจริง ๆ หมออาจพิจารณายากลุ่ม GLP-1 agonists เช่น semaglutide หรือ liraglutide ซึ่งจะไปช่วยกระตุ้นสัญญาณความอิ่มให้มาไวขึ้น
แต่ก็ต้องปรับพฤติกรรมควบคู่กันไปนะ
•เลี่ยงพวกแป้งขัดขาว น้ำตาลจัด เพราะมันกระตุ้นให้หิว
ยาพวกนี้ไม่ได้ไปเร่งเผาผลาญนะครับ แต่มันทำให้เรารู้สึก “พอแล้ว” เร็วขึ้น เลยกินน้อยลงแบบไม่ต้องฝืน
2. อ้วนเพราะ “อารมณ์หิว” – ไม่หิวแต่ใจอยากกิน
ใครเคยเป็นบ้าง เครียดแล้วหยิบขนม พอตอนบ่ายเอาละ กดสั่งชานมไข่มุก น้ำหวานมากินให้สดชื่น
อันนี้พูดตรงๆว่าตอนผมหนัก110 โล ผมก็เป็นบ่อย
เราเรียกกลุ่มนี้ว่า “Emotional Hunger”
ที่ไม่ได้กินเพราะหิว แต่กินเพราะใจมันต้องการปลอบโยนอะไรบางอย่าง
แก้ยังไงดี?
•ดูแลอารมณ์ก่อนดูแลอาหาร
ถ้าอารมณ์ยังปั่นป่วน การกินก็จะแปรปรวนตาม
•ลองทำ บำบัดแบบรู้ตัว (Mindfulness หรือ CBT) ช่วยให้เห็นใจตัวเองมากขึ้น ไม่ใช้ของกินเยียวยา
•จัดสภาพแวดล้อมให้ไม่ล่อใจ เช่น ไม่มีขนมในบ้าน = ไม่ต้องสู้กับมันทุกวัน
•ถ้ามีอาการอ้วนชัด ๆ ใช้ยากลุ่มเดียวกับ hungry brain ได้ เพราะมันช่วยลด impulsive eating
•เลือกกินอาหารที่พลังงานไม่พุ่งแรง เช่น โปรตีน ไขมันดี ไม่ใช่น้ำตาล
3. อ้วนเพราะ “ลำไส้หิวเร็ว” กินแป๊บเดียวก็หิวอีก
บางคนกินข้าวเสร็จยังไม่ถึงสองชั่วโมงก็รู้สึกหิวอีกแล้ว
ไม่ใช่เรื่องมโน แต่งานวิจัยเขาบอกว่า กลุ่มนี้คือ “Hungry Gut”
เพราะลำไส้ย่อยเร็วมาก ทำให้สัญญาณ “อิ่ม” หายไปไว และร่างกายบอกให้กินซ้ำอีก
แก้ยังไงดี?
•เน้นกิน ไฟเบอร์ โปรตีน ไขมันดี อยู่ในท้องได้นาน
•ลดพวกของเหลวหวาน น้ำผลไม้ เครื่องดื่มที่ดูเบา ๆ แต่ย่อยแป๊บเดียวหิวต่อ
•ถ้ายังหิวถี่ → ยากลุ่ม GLP-1 อย่าง semaglutide ก็ช่วยชะลอการย่อย ทำให้อิ่มนานขึ้น แต่ก็ต้องปรับพฤติกรรมอื่นๆด้วย
4. อ้วนเพราะ “เผาผลาญช้า”
กินไม่เยอะ แต่ขยับทีไรขึ้นตลอด
กลุ่มนี้เรียกว่า “Slow Burning” หรือ “ร่างกายประหยัดพลังงาน”
ไม่ใช่เพราะกินเยอะ แต่เพราะระบบเผาผลาญพัง หรือเคยโยโย่มาหลายรอบ
บางคนทำงานนั่งโต๊ะ ไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อ → ยิ่งเผาผลาญต่ำลงไปอีก
แก้ยังไงดี?
•สร้างกล้ามเนื้อ ด้วยเวทเทรนนิ่ง ไม่ต้องยกหนัก แต่ทำให้สม่ำเสมอ
•เพิ่ม โปรตีน ในแต่ละวันให้ถึง (1.2–1.4 กรัม/กก. น้ำหนักตัว)
•ถ้าต้องการกระตุ้นระบบเพิ่มขึ้นอีก → ใช้ยากลุ่มใหม่เช่น tirzepatide ที่ช่วยได้ทั้งเรื่องน้ำหนักและการเผาผลาญ
ที่เน้นเรื่อง กล้ามเนื้อ เพราะมันคือ “เตาเผาไขมัน” ธรรมชาติของเรา ยิ่งเรามีมันมากเท่าไหร่ ร่างกายก็ใช้พลังงานแม้ตอนนั่งนิ่ง ๆ ได้มากขึ้น
5. สรุปว่า ถ้าจะลดน้ำหนักให้ได้ผล ต้องรู้ก่อนว่า “อ้วนแบบไหน”
ต้องแยก Obesity Phenotypes ให้ออกก่อน
แล้วจัดการให้ตรงจุด เพราะเราทุกคนไม่เหมือนกัน
บางคนหิวง่าย บางคนอิ่มยาก บางคนอารมณ์แกว่ง บางคนแค่ร่างกายไม่ยอมเผาผลาญ
การลดน้ำหนักที่ดีจึงไม่ควรเป็นสูตรสำเร็จ
วันนี้เรามีเครื่องมือเยอะมาก
•ทั้งยาใหม่ที่ช่วยให้ร่างกายทำงานง่ายขึ้น
แต่แค่อย่างเดียวไม่ช่วย ต้องปรับอย่างอื่นด้วย
•วิธีการกินที่ไม่ต้องอด แต่ได้ผล
•การออกกำลังกายที่ไม่ต้องหักโหม
•และการดูแลใจที่ไม่ทำให้เราเครียดกับตัวเองเกินไป
แต่ที่สำคัญที่สุด
อย่าโทษตัวเองว่าอ้วนเพราะ “ขี้เกียจ”
หรือ “ไม่มีวินัย” เพราะในความเป็นจริง
หลายสิ่ง หลายอย่างผสมกันหมด
ลองสังเกตตัวเองดูนะครับว่า คุณอ้วนแบบไหน แล้วเลือกเส้นทางที่ “เหมาะกับร่างกายของเรา” มากกว่าทางที่คนอื่นเขาทำแล้วได้ผล
ใครมีคำถามตอมเมนต์ได้เลยครับ






