- 30 ก.ค. 2568
เรื่องราวของ "พระโคพระแก้ว" ไม่ใช่แค่ตำนานพื้นบ้าน แต่คือปมประวัติศาสตร์หลังยุคนครวัดล่มสลาย ที่ฝังรากลึกในความทรงจำของชาวกัมพูชา
เปิดโลก พระโคพระแก้ว ตำนานเขมรด่าไทยเป็นโจร ฝังใจถึงขั้นสร้างละคร เรื่องราวของ "พระโคพระแก้ว" ไม่ใช่แค่ตำนานพื้นบ้าน แต่คือปมประวัติศาสตร์หลังยุคนครวัดล่มสลาย ที่ฝังรากลึกในความทรงจำของชาวกัมพูชา โดยเฉพาะการมองภาพไทยในฐานะผู้รุกราน จนกลายเป็นความเชื่อและชาตินิยมที่เข้มข้นมาจนถึงทุกวันนี้
วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 รายการ "โหนกระแส" ทางช่อง 3 ยังคงเกาะติดสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา โดยได้เชิญนักวิชาการมาให้มุมมองในประเด็นดังกล่าว ผศ. ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ชี้ว่า มุมมองและวิสัยทัศน์ของฝั่งกัมพูชายังคงติดอยู่ในยุคสงครามเย็น ที่เน้นการโฆษณาชวนเชื่อและการใช้กำลังรุนแรง เช่น การยิงจรวดใส่ประชาชน ซึ่งต่างจากยุคปัจจุบันที่การเอาชนะกันด้วยข้อเท็จจริงเป็นสิ่งสำคัญ
ผศ. ดร.ปริญญา เสนอแนะว่า ควรนำเรื่องนี้ขึ้นสู่ ศาลอาญาระหว่างประเทศ เพื่อให้ศาลได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการรุกรานหรือไม่ และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต
ด้าน หนุ่ม กรรชัย ถามนักวิชาการว่า กัมพูชาจงเกลียดจงชังอะไรไทยนักหนา แล้วจะหาว่าเราขโมยอะไรนักหนา คืออะไร ?
- รศ. ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช นายกสมาคมภูมิภาคศึกษาและอาจารย์สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่าเรื่องนี้มีคำอธิบายหลายส่วน แต่ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของนิทานละครพื้นบ้านของกัมพูชา ที่ปลูกฝังกันมาอย่างยาวนานเกี่ยวกับไทย เป็นนิทานที่มีมาตั้งแต่โบราณกาลและยังเป็นที่นิยมมาในหมู่เยาวชนกัมพูชา จนถึงขั้นนำมาทำเป็นแอนิเมชั่น หรือแม้กระทั่งเอกสารที่ใช้ในการเรียนการสอน
นิทานนั้นชื่อ "ตำนานพระโคพระแก้ว" โดย พระโค เป็นวัวศักดิ์สิทธิ์ มีอภินิหารมาก ส่วน พระแก้ว เป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นพี่เป็นน้องกับพระโค อยู่มาวันหนึ่งมีกองทัพสยาม บุกมาที่กัมพุชประเทศ เข้าโจมตีราชธานีคือกรุงละแวก ซึ่งมีการตีความว่านั่นคือการยาตราทัพเข้ามาในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่เข้ามาบดขยี้พญาละแวก
พระโคก็อาสามาสู้กับสยาม สู้กับโคพยนต์ของสยาม แต่ปรากฏว่าสู้สยามไม่ได้ พระโคพ่ายแพ้เลยเหาะเหินเดินอากาศหนีไป โดยมีพระแก้วเกาะหางพระโคมาด้วย อยู่มาวันหนึ่ง มีข้อสรุปว่าสยามตีกรุงละแวกได้ และมีการนำพระโค พรากไปจากอ้อมอกของคนกัมพูชา
ที่สำคัญคือในท้องพระโค บรรจุคลังศิลปวิทยาการ ของบรรพชนคนเขมร คืออารยธรรมเขมร ภูมิปัญญาเขมร อยู่ในท้องพระโค แต่นับจากสยามนำพระโคไปจากอ้อมอกกัมพูชา กัมพูชาก็เขาสู่ยุคมืด และไม่ได้เจริญเท่าจักรวรรดิเขมรในยุคอดีตอีกเลย เขาจึงมองว่ายุคเสื่อมของกัมพูชา ที่กัมพูชาไม่เจริญเพราะสยามลักเอาพระโคไป
นี่จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่กัมพูชาด่าไทยมาตลอดว่าทำให้ประเทศของเขาเป็นแบบนี้ เพราะพระโคไปแล้ว และยังมีการตีความทางประวัติศาสตร์ มีการทำเป็นละครจักร ๆ วงศ์ ๆ ในหน้าทีวี มีนักแสดงมาแต่งตัวเป็นกองทัพสยาม ต่อสู้กับกองทัพเขมร มีพระโคร้องไห้ พระโครำพึงรำพันถึงความน่ากลัวของสยาม
ในจุดนี้ อ.ปริญญา ถามว่า แล้วโคตัวนั้นที่เขาหาว่าเราลักเขามา ไปอยู่ที่ไหน ?
- อ.ดุลยภาค จึงเล่าว่า หากเป็นในทางประติมากรรม ประวัติศาสตร์ ก็มีรูปปั้นพระโคอยู่ที่กรุงละแวกของกัมพูชา แต่ก็มีนักวิชาการชาตินิยมกัมพูชาบอกว่า มีรูปปั้นวัวที่อยู่ในวัดพระแก้ว ที่กรุงเทพฯ แล้วเคลมว่านั่นคือพระโคของเขาที่เราขโมยมา ทั้งที่จริง ๆ แล้ววัวตัวนี้เป็นสถาปัตยกรรมของฝรั่ง ที่น่าจะสร้างตั้งแต่สมัย ร.4
หนุ่ม กรรชัย ถึงกับบอกว่าเป็นเรื่องที่เปิดโลกทัศน์มาก เพราะไม่เคยรู้อะไรแบบนี้มาก่อนเลย เล่นสร้างนิทานขึ้นมา ให้เด็กกัมพูชา หนุ่มสาวกัมพูชาทุกวันนี้จำฝังใจ เกลียดคนไทย
- อ.ดุลยภาค ระบุอีกว่า นี่เป็นตำนาน ที่สอนเด็กให้จำกันมาว่าเราเอาพระโคของเขามา จนทำให้ประเทศเขาจมปลักถึงทุกวันนี้ และสอดแทรกเรื่องเตือนใจให้คนเขมรสามัคคีกัน อย่าได้โลภในทรัพย์สิน เพราะตอนนั้นกองทัพสยามพยายามตีกรุงละแวก แต่ตีไม่สำเร็จจึงถอนทัพกลับ จากนั้นก็ยิงกระสุนปืนใหญ่เป็นกระสุนเงินเข้ามาในป่าไผ่ ซึ่งเป็นปราการป้องกันกรุงละแวก แต่ชาวบ้านที่โลภหรือความอดอยากจากภัยสงคราม ก็ไปตัดป่าไผ่ เก็บเอากระสุนเงินของสยามมาบำรุงตัวเอง แต่นั่นกลับทำให้ปราการเสียความสามารถในการป้องกันราชธานี จึงทำให้กองทัพสยามกลับมาแล้วพิชิตกรุงละแวกได้
โดยตำนานพระโคพระแก้ว เป็นยุคหลังอังกอร์ เป็นยุคหลังนครวัดล่มสลาย ส่วนหนึ่งมาจากการบุกของพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา สมัยเจ้าสามพระยา เขมรก็ย้ายราชธานีไป หนึ่งในนั้นคือกรุงละแวก เป็นศูนย์อำนาจของพญาละแวก ซึ่งสมัยพระนเรศวรก็มีดำริปราบกัมพุชประเทศ ก็เข้ามาโจมตี แต่ที่กรุงละแวกมีป่าไผ่เป็นแนว ซึ่งในนิทานตำนานก็มีการใส่ดีเทลว่าขณะนั้นพระโคที่เป็นวัวศักดิ์สิทธิ์ ขันอาสามาสู้กับสยาม สยามก็เสกวัวพยนต์มาสู้ด้วย แต่พระโคสู้ไม่ได้
เป็นที่น่าสังเกตว่านิทานพื้นบ้านอื่น ๆ ไทยยังมีเล่าขานกัน แต่เรื่องพระโคพระแก้ว ของไทยไม่มี มีแค่ของกัมพูชา แถมยังมีการฉายภาพไทยว่าเป็นเพื่อนบ้านที่เข้ามารุกรานสอดแทรกเข้าไปด้วย ตรงนี้ทำให้ฝั่งนั้นเกิดความเชื่อ มีความเป็นชาตินิยมที่เข้มข้นและมองเพื่อนบ้านเป็นศัตรู
ขอบคุณข้อมูลจาก โหนกระแส






