- 13 ส.ค. 2568
เจ้าคุณธีรวิทย์ ชวนมองอีกมุม ที่หลายคนอาจไม่เคยเห็น "วัดใหญ่ในเมืองหลวง" รวยจริงหรือ มีภาระค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
เมื่อวันที่ 12 ส.ค. 68 ทางด้าน พระวัฒนวชิรเมธี (ธีรวิทย์ ฉนฺทวิชฺโช) หรือ เจ้าคุณธีรวิทย์ อดีตรองเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย เคลื่อนไหวผ่านเฟซบุ๊ก Teerawit Sukhontavaranon ชวนมองอีกมุม "วัดใหญ่ในเมืองหลวง" รวยจริงหรือ มีภาระค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
โดยระบุว่า วัด (ใหญ่ ๆ) รวย…จริงหรือ ? ชวนมอง 360 องศา หามุมที่หลายคนอาจยังมองไม่เห็น อนุโมทนาผู้ที่ได้อ่านจนจบแล้วแสดงความเห็น
ทุกครั้งที่มีข่าววัดใหญ่ในเมืองหลวงมีเงินฝากหลายสิบล้านบาท เสียงวิจารณ์ในโลกออนไลน์ก็มักดังขึ้นทันที
"พระรวยจัง!"
"วัดรวยขนาดนี้ยังต้องทำบุญกันอีกหรือ?"
"เอาเงินไปช่วยโรงเรียน โรงพยาบาลดีกว่า"
คำถามเหล่านี้สะท้อนความสงสัยของคนจำนวนมาก แต่ก็เป็นความเข้าใจเพียงบางส่วนของความจริงเท่านั้น
"#เงินวัดไม่ใช่เงินเจ้าอาวาส"
สิ่งแรกที่ควรทำความเข้าใจ คือ เงินวัด ซึ่งเป็น ทรัพย์สินของวัด วัตถุประสงค์ใช้เพื่อกิจการในอาราม ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและสาธารณประโยชน์ ไม่ใช่กัปปิยปัจจัยส่วนตัวของเจ้าอาวาสหรือพระภิกษุรูปใดภายในวัด การใช้จ่ายเงินวัด ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบคณะสงฆ์ และธรรมเนียมปฏิบัติของพระอารามนั้น ๆ
"#ค่าใช้จ่ายในอารามที่คนทั่วไปอาจมองไม่เห็น"
จากประสบการณ์ของผู้เขียนบทความที่มีโอกาสได้มีส่วนร่วมในการบริหารพระอาราม วัดใหญ่ในเมืองหลวงที่มีพระเณร 50–80 รูป แม่ชี 15–20 คน ศิษย์วัด 30 คน รวมถึงคนงานดูแลวัด ยังไม่รวมถึงสุนัขและแมวที่อยู่ในวัด ล้วนแต่มีค่าใช้จ่ายพื้นฐานทั้งสิ้น หากจะประมาณให้พอเห็นชัดต่อเดือน เช่น
- #ค่าอาหาร พระเณร แม่ชี ศิษย์วัด คนงาน ฯลฯ รวมวันละ 2 มื้อ อาจเกิน 200,000- 300,000 บาทต่อเดือน (เพราะบางช่วงก็มีงานพิเศษสำคัญทางศาสนา)
- #ค่าน้ำค่าไฟ สำหรับ พระอุโบสถ วิหาร ศาลาการเปรียญ อาคารประกอบ ต่าง ๆ อาจอยู่ที่ 150,000–200,000 บาทต่อเดือน (ไม่รับตามกุฏิส่วนตัวที่พระเณรต้องรับผิดชอบเอง)
- #ค่ายารักษาโรคและค่ารักษาพยาบาล โดยเฉพาะพระเณรที่ป่วยฉุกเฉิน อาจอยู่ที่ 30,000–50,000 บาทต่อเดือน
- #ค่าใช้จ่ายกิจกรรมพระพุทธศาสนา เช่น วันสำคัญ งานประเพณี งานอบรมปฏิบัติธรรม อาจใช้ 50,000–100,000 บาทต่อครั้ง
- ฯลฯ
รวมแล้ว ประมาณการค่าใช้จ่ายประจำเดือนอาจสูงกว่า 500,000 บาท ซึ่งเมื่อคูณ 12 เดือน ก็อาจเกิน 6 ล้านบาทต่อปี โดยยังไม่รวมค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน
"#การบูรณะและซ่อมแซมอาราม"
วัดเป็นสถานที่ที่มีอาคารและโบราณสถานสำคัญ เช่น พระอุโบสถ พระวิหาร ศาลาการเปรียญ ที่ต้องดูแลต่อเนื่อง การซ่อมใหญ่ เช่น บูรณะพระอุโบสถ บูรณะวิหารเก่าอาจใช้ 10–20 ล้านบาท เพราะการซ่อมโบราณสถาน จำเป็นต้องใช้เทคนิคพิเศษ ใช้ช่างมีฝีมือ ค่าจ้าง วัสดุต่าง ๆ อาจสูงกว่างานบูรณะทั่วไป
"#งานของคณะสงฆ์ในวัด — มีมากกว่าที่คิด"
เงินของวัดนั้นนอกจากที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นแล้ว ยังต้องมองภาพรวมของพันธกิจคณะสงฆ์ตามกฎหมายที่กำหนดให้แต่ละวัดสนองนโยบายคณะสงฆ์ทั้ง 6 ด้าน คือ
- งานด้านการปกครอง — ดูแลพระเณรและกิจการภายในวัดให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย
- งานด้านการศึกษา — สนับสนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม และการศึกษาสามัญของพระเณร
- งานด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา — จัดกิจกรรมธรรมะ อบรมเยาวชน และเผยแพร่ผ่านสื่อสมัยใหม่
- งานด้านสาธารณูปการ — การบูรณะกุฏิ ศาลา ถนนในวัด ระบบน้ำไฟ
- งานด้านการศึกษาสงเคราะห์ — ช่วยเหลือทุนการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนยากจน
- งานด้านสาธารณสงเคราะห์ — การช่วยเหลือผู้ประสบภัย น้ำท่วม ไฟไหม้ ฯลฯ
นอกจากนั้นเจ้าอาวาสหลายรูปก็ยังต้องแบกรับงานบริหารกิจการคณะสงฆ์ในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค ซึ่งต้องเป็นกำลังให้กับวัดวาอารามในพื้นที่ปกครอง พระเถระเหล่านี้หาได้เป็รปฏิคาหก (ผู้รับ) อย่างเดียวแต่ท่านยังต้องเป็นทายก (ผู้ให้) ในขณะเดียวกันอีกด้วย
"วัดใหญ่ ๆ มีเงินหลายสิบล้าน เหลือเฟือจริงหรือ ?"
ดังนั้น เงินสำหรับเงินสำรองของวัด แม้จะดูสูงถึง 50–60 ล้านบาท เมื่อพิจารณาก็อาจเพียงพอให้วัดดำเนินงานและซ่อมบำรุงใหญ่ได้เพียง 4–5 ปีเท่านั้น หากไม่มีการสนับสนุน มิใช่เป็นเงินเหลือเฟือเกินจำเป็น
"#ความเสี่ยงจากบุคคลที่หวังประโยชน์ส่วนตน"
แม้พระสงฆ์ส่วนใหญ่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าวัดอาจเผชิญบุคคลที่อาจเข้ามาเพื่อหวังผลประโยชน์ส่วนตัว เช่น เข้ามามีบทบาทในฐานะกรรมการวัดหรือผู้จัดการทรัพย์สิน ซึ่งอาจสร้างปัญหาด้านความโปร่งใสหากขาดการตรวจสอบและการทำงานร่วมกันอย่างถูกต้อง ก็ถือเป็นปัญหาที่เจ้าอาวาสต้องแบกรับ
"#การตรวจสอบด้วยใจเป็นกัลยาณมิตร"
ต้องขออนุโมทนากับภาครัฐ ที่มีความตั้งใจดีที่จะเข้ามาช่วยเหลือปัญหาข้างต้น ด้วยกสรตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส แต่เสนอให้ควรดำเนินการด้วยท่าทีแห่ง "กัลยาณมิตร" เคารพในบทบาทของพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบซึ่งยังมีอยู่หลายแสนรูปในสังฆมณฑล ดำรงตนเป็นพุทธบริษัท ที่มีกุศลเจตนา ดำเนินการตรวจสอบตั้งอยู่บนความร่วมมือและความเข้าใจ ที่จะเสริมสร้างศรัทธา มากกว่าการทำให้เกิดความหวาดระแวง ซึ่งกันและกัน
"#ฝากไว้ด้วยหลักธรรม"
พระพุทธภาษิต "นิสมฺม กรณํ เสยฺโย" แปลว่า "การใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำ ย่อมดีกว่า" เป็นข้อเตือนใจทั้งผู้ที่วิจารณ์วัด และผู้ที่ต้องการเข้ามาช่วยดูแลกิจการคณะสงฆ์ ว่า ก่อนลงมือทำหรือกล่าวสิ่งใด ควรพิจารณาให้รอบด้าน เพื่อให้ผลลัพธ์เกิดประโยชน์สูงสุดแก่พระพุทธศาสนาและสังคม
"#บทสรุป"
เงินหลายสิบล้านของวัดใหญ่ อาจดูเป็นตัวเลขมหาศาลในสายตาคนทั่วไป แต่เมื่อมองลึกถึงภาระค่าใช้จ่าย การบูรณะซ่อมแซม การศึกษาสงเคราะห์ และงานสาธารณกุศลต่าง ๆ จะเห็นว่าทรัพย์เหล่านี้เป็น "ทุนสำรองเพื่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนา" เพราะเมื่อศาสนามั่นคง ศาสนาก็ไปสร้างคน คนก็ไปพัฒนาประเทศชาติบ้านเมือง เรื่องเงินวัดไม่ใช่เพื่อความฟุ่มเฟือยส่วนบุคคล การเข้าใจอย่างรอบด้าน ย่อมช่วยให้เรารักษาศรัทธาและร่วมกันปกป้องคุณค่าของศาสนาให้ยั่งยืนสืบไป
ป.ล. อย่าลืมว่าเงินวัด 50-60 ลบ. ของบางวัดไม่ใช่เงินรายได้รายปีทุกปีเหมือนงบประมาณ แต่เป็นเงินบุญเงินกุศล ที่พุทธศาสนิกชนร่วมสะสมบุญกันมาตั้งแต่สร้างวัดเป็นร้อยปี
#หมายเหตุ : การนำเสนอเนื้อหานี้ ไม่ได้บอกว่าทุกวัดจะค่าใช้จ่ายเช่นนี้ กรณีศึกษานี้หมายเฉพาะวัดใหญ่ ๆ ที่มี อารามิก (คนวัด) อาศัยกันเป็นร้อยชีวิต ไม่ต่างจากหมู่บ้าน ๆ หนึ่ง ส่วนวัดเล็ก วัดในชนบทก็ย่อมมีความแตกต่างกันไป






