- 07 ก.ย. 2568
การกลับมาระบาดของโรคฝีดาษวานรในประเทศไทยอีกครั้ง ทำให้หลายคนกังวลและสงสัยว่าควรจะรับมืออย่างไร เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองและคนรอบข้าง เราได้รวบรวมข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับโรคนี้ที่คุณควรรู้ไว้ที่นี่แล้ว
เตือนภัย โรคฝีดาษวานรกลับมาระบาดในไทยอีกครั้ง พร้อมวิธีป้องกันที่ต้องรู้ ข้อมูลจากการเฝ้าระวังสถานการณ์โรคฝีดาษวานรในสัปดาห์ที่ 34 (17 – 23 สิงหาคม 2568) พบผู้ป่วยรายใหม่ 5 ราย เป็นผู้ป่วยในจังหวัดชลบุรี 3 ราย
ขอนแก่นและกรุงเทพมหานคร แห่งละ 1 ราย และเฉพาะในปี พ.ศ. 2568 มีผู้ป่วยสะสม 61 ราย ไม่พบรายงานผู้เสียชีวิต ยังคงพบผู้ป่วยต่อเนื่องทุกสัปดาห์มีแนวโน้มสูงขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา
โดยตั้งแต่เกิดการระบาดในปี พ.ศ. 2565 จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีผู้ป่วยสะสม 933 ราย เสียชีวิต 13 ราย ส่วนใหญ่มีปัจจัยเสี่ยงจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน มีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักก่อนป่วย การสัมผัสแนบเนื้อกับผู้ป่วย จากข้อมูลยังพบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิต ส่วนใหญ่เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) บางรายเพิ่งตรวจพบว่าติดเชื้อ ขณะที่บางรายทราบอยู่แล้วแต่ไม่ได้รับยาต้านไวรัส (ARV) เพื่อกดเชื้ออย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันต่ำร่างกายต่อสู้กับโรคอื่นได้น้อยลง จึงมีความเสี่ยงอาการรุนแรงมากกว่าคนทั่วไป
หน่วยงานที่ตรวจสอบ
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
ฝีดาษวานร: อาการ การแพร่เชื้อ และวิธีป้องกันที่ควรรู้
ฝีดาษวานร หรือ Monkeypox เป็นโรคติดต่อที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แม้ส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรง แต่การทำความเข้าใจและรู้วิธีป้องกันก็เป็นสิ่งสำคัญ
3 ระยะอาการของโรคฝีดาษวานร
อาการของโรคนี้จะแบ่งออกเป็น 3 ระยะหลักๆ ดังนี้
- ระยะฟักตัว (5-21 วัน): เป็นช่วงที่ร่างกายรับเชื้อ แต่ยังไม่แสดงอาการใดๆ
- ระยะไข้ (1-5 วัน): จะมีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น มีไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และอ่อนเพลีย แต่จุดเด่นที่ต่างจากโรคอื่นๆ คือ ต่อมน้ำเหลืองจะโต อย่างชัดเจน
- ระยะผื่น (2-4 สัปดาห์): ผื่นจะเริ่มขึ้นและค่อยๆ เปลี่ยนแปลงจาก ตุ่มนูนแดง → ตุ่มน้ำใส → ตุ่มหนอง → ตกสะเก็ด และหลุดไปในที่สุด โดยมักจะขึ้นบริเวณใบหน้า ภายในปาก ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และอวัยวะเพศ
การแพร่กระจายของเชื้อ
เชื้อสามารถแพร่ได้หลายทาง ซึ่งต่างจากโควิด-19 คือผู้ป่วยจะแพร่เชื้อได้เมื่อเริ่มมีอาการแล้วเท่านั้น
- สัมผัสโดยตรง: สัมผัสผื่นหรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วย
- ใกล้ชิดเป็นเวลานาน: หายใจหรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยในระยะใกล้
- มีเพศสัมพันธ์: เป็นช่องทางการแพร่เชื้อที่สำคัญ
- สัมผัสสิ่งของร่วมกัน: เช่น เสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน ของใช้ส่วนตัว
- จากแม่สู่ลูก: ผ่านทางรก
วิธีป้องกันและการรักษา
การป้องกันที่ดีที่สุดในตอนนี้คือการฉีดวัคซีน ซึ่งมีประสิทธิภาพป้องกันได้ถึง 85% เมื่อฉีดครบ 2 เข็ม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ควรเข้ารับการฉีดทันที
นอกจากนี้ยังควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้
- ห้ามสัมผัสผื่น และสิ่งของส่วนตัวของผู้ป่วย
- หลีกเลี่ยงการใกล้ชิด หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ
- หมั่นล้างมือ ให้สะอาดด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์
ระมัดระวังเมื่อเดินทาง ไปต่างประเทศ โดยเฉพาะในทวีปแอฟริกา ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ฟันแทะและลิง
การรักษา: ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรงและสามารถหายเองได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัส แต่ต้อง กักตัว จนกว่าผื่นสุดท้ายจะตกสะเก็ดและผิวหนังใหม่ขึ้นมาทดแทน






