- 16 ก.ย. 2568
‘ธปท.- สมาคมธนาคาร’ เดินหน้ามาตรการเชิงรุก เร่งปลดล็อกบัญชีผู้บริสุทธิ์ที่ถูกระงับให้เร็วขึ้น ลดผลกระทบจากมาตรการ “กวาดเส้นเงิน” บัญชีม้า
นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงิน และคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สมาคมธนาคารไทย ออกมาชี้แจงถึงสถานการณ์ และแนวทางแก้ไขปัญหาการหลอกลวงทางการเงิน ที่ยังคงสร้างความเสียหายต่อเนื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีประชาชนถูกหลอกให้โอนเงินเอง แม้ว่าความเสียหายจากการที่มิจฉาชีพควบคุมอุปกรณ์ผู้ใช้งานโดยตรงจนเงินหายจากแอปพลิเคชันจะลดลงเหลือศูนย์ตั้งแต่ต้นปี
แต่ปัญหาถูกหลอกให้โอนเงินยังคงอยู่ในระดับสูงมาก จึงจำเป็นที่ทุกหน่วยงานต้องพิจารณาหาวิธีการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ และเน้นย้ำว่า ทุกขั้นตอนที่ดำเนินการมีส่วนช่วยในการจำกัดความเสียหาย และป้องกันไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อตั้งแต่ต้น หากมีการโอนเงินไปแล้ว ธนาคารก็จะพยายามช่วยจำกัดความเสียหายเหล่านั้น
และกรณีที่มีประชาชนจำนวนมากถูกระงับการทำธุรกรรม ซึ่งเกิดจากกระบวนการ “ต่อเส้นเงิน” ซึ่งมาจากกระบวนการ “กักเงิน” ที่ถูกหลอกให้โอนโดยมิจฉาชีพให้อยู่ในระบบให้ได้มากที่สุด เพื่อนำมาคืนเหยื่อกับการป้องกันผล กระทบต่อผู้บริสุทธิ์ เนื่องจากมิจฉาชีพมีความสามารถหลอกลวงบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องให้เข้ามามีส่วนร่วม โดยใช้บัญชีของพวกเขาทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้สุจริตได้ ส่งผลให้ที่ผ่านมา มีผู้ที่ถูกระงับบัญชีจำนวนมาก
รวมถึงผลจากการเชื่อมต่อข้อมูลที่มากขึ้น หลังได้รวมข้อมูลจาก e-money เข้ามาด้วย จากเดิมที่การจำกัดเส้นเงินจะครอบคลุมเฉพาะธนาคารพาณิชย์เท่านั้นทำให้เส้นเงินยาวขึ้นและกระทบกับคนจำนวนมากขึ้น
ทั้งนี้ หากดูสถิติการถูกระงับบัญชีช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา 7-11 ก.ย.พบว่า อยู่เพียง 10,000 บัญชีต่อสัปดาห์โดยไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
เร่งปลดระงับผู้บริสุทธิ์ให้เร็วที่สุด
สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาที่กำลังดำเนินการ เพื่อช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ให้สามารถปลดล็อกบัญชีที่ถูกระงับเพื่อกลับมาใช้ได้เร็วที่สุด
โดยการเร่งปลดระงับผู้บริสุทธิ์ให้เร็วที่สุด เป็นมาตรการที่ดำเนินการทันที หากตรวจสอบพบว่าไม่เป็นมิจฉาชีพ/บัญชีม้า บัญชีนั้นต้องไม่ปรากฏชื่อในรายชื่อบัญชีม้าที่ ปปง. ประกาศ หรือมาตรการสีม้าที่ ธปท. กำหนด หรือเป็นลักษณะธุรกรรมปกติ เช่น รับชำระเงินมูลค่าน้อย หรือแม้เป็นเงินก้อนใหญ่ แต่มีลักษณะการไหลเข้า-ออกของเงินเป็นปกติ เหมือนร้านค้าทั่วไปที่มีลูกค้าโอนเงินมาและมีการโอนออกเพื่อชำระค่าสินค้า กรณีนี้ เมื่อมีการติดต่อมาที่สถาบันการเงิน หรือ สปอท. ปลดระงับบัญชีได้ทันทีใน 4 ชั่วโมง หรือภายใน 1วัน จากเดิมใช้ระยะเวลาตรวจสอบ 3-7 วัน
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบช่วง 1 วันที่ผ่านมา (วันอาทิตย์ที่ 14 ก.ย.68 ที่ผ่านมา) สำหรับผู้ที่ถูกระงับบัญชี และมีการติดต่อมาที่สถาบันการเงิน และ ศปอท. พบว่าอยู่ที่กว่า 100 เคส และมีเพียง 11 เคส หรือ 10% เท่านั้นที่สามารถปลดระงับได้จริง
เนื่องจากบางส่วนพบว่า มีความเชื่อมโยงกับบัญชีม้า หรือเป็นบัญชีม้าดำ ที่รับเงินเป็นต่อแรก จากผู้เสียหาย
อย่างไรก็ตาม สำหรับมาตรการเชิงรุก มีหลายมาตรการ
1. ปลดระงับเชิงรุก ที่ธนาคารกำลังเตรียมดำเนินการตรวจสอบรายชื่อบัญชีที่ถูกระงับที่ยังค้างอยู่ในระบบโดยอัตโนมัติ เพื่อปลดระงับบัญชีผู้บริสุทธิ์ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้โทรศัพท์แจ้งเข้ามาก็ตาม คาดว่าจะดำเนินการได้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หรือภายใน 7 วัน บัญชีที่ถูกระงับก็จะถูกปลดอัตโนมัติ
สำหรับเป้าหมาย หรือมาตรการเชิงรุก เพื่อลดผลกระทบกับผู้บริสุทธิ์นั้น เบื้องต้นจะปรับปรุงการกวาดเส้นเงินให้เท่าที่จำเป็น ไม่กวาดเกินความจำเป็น
2. ภายในเดือนก.ย.นี้ จะกำหนดเงื่อนไขเพื่อให้การกวาดเส้นเงินทำเฉพาะบัญชีที่เกี่ยวข้องเท่านั้น โดยไม่กวาดบัญชีผู้บริสุทธิ์เข้ามาตั้งแต่แรกหลักการ จะนำเกณฑ์การพิจารณาปลดระงับผู้บริสุทธิ์ที่ใช้งานอยู่ มาปรับใช้กับขั้นตอนการต่อเส้นเงินตั้งแต่เริ่มต้น
3.จะแจ้งข้อมูลให้ผู้ได้รับผลกระทบทราบอย่างเพียงพอ โดยธนาคารพาณิชย์จะดำเนินการแจ้งลูกค้าที่ถูกระงับธุรกรรม โดยอาจเป็นทาง SMS หรือ Mobile Banking ภายในคืนวันที่เกิดเหตุ ว่าการระงับบัญชีชั่วคราวกี่วัน วงเงินเท่าใด พร้อมทั้งแจ้งขั้นตอนต่อไปที่ลูกค้าควรดำเนินการ และช่องทางการติดต่อ
ไม่พบสัญญาณ “แบงก์รัน”
อย่างไรก็ตาม สำหรับกระแสถอนเงินผ่านโซเชียล เบื้องต้น ธปท.ยืนยันว่า ยังไม่พบ การถอนเงินฝากออกจากระบบเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยพบการถอนเงินฝากเพิ่มขึ้นบ้างในบางสาขาบางแห่ง ซึ่งสถาบันการเงินได้เตรียมพร้อมสภาพคล่องรองรับการถอนเงินอยู่แล้ว
“ธปท. อยากสร้างความมั่นใจว่า ผู้บริสุทธิ์จะได้รับการปลดระงับอย่างรวดเร็ว และจะพยายามไม่ให้ได้รับผลกระทบตั้งแต่แรก การใช้ Mobile Banking และการโอนเงินยังสามารถทำได้ตามปกติ การระงับจะทำเฉพาะจำนวนเงินที่อยู่ในเส้นทางธุรกรรมเท่านั้น ส่วนเงินอื่นที่เหลือในบัญชีสามารถใช้ได้ตามปกติ หากไม่ใช่การอายัดบัญชีทั้งหมด”
ดีอีแจงระงับธุรกรรมชั่วคราว
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ชี้แจงความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการ “ระงับธุรกรรมชั่วคราว” ตามพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 โดยย้ำว่ามาตรการดังกล่าว “ไม่ใช่การอายัดบัญชี” แต่เป็นการระงับเฉพาะวงเงินที่สงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกรรมจากบัญชีม้า และจะมีผลบังคับใช้เพียง 7 วันเท่านั้น
หากภายในระยะเวลาดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่พบพยานหลักฐานใหม่เพื่อขออายัดบัญชีตามกระบวนการ ป.วิอาญา บัญชีที่ถูกระงับจะได้รับการปลดล็อกทันที และหากตรวจสอบพบว่าเจ้าของบัญชีเป็นผู้บริสุทธิ์ จะรีบดำเนินการยกเลิกการระงับเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีประชาชนโทรเข้ามาขอปลดการระงับธุรกรรมกว่า 1,300 ราย แต่มีเพียง 300 รายที่ให้ข้อมูลครบถ้วน และจากการตรวจสอบสามารถปลดล็อกได้เพียง 10% ส่วนที่เหลือยังพบพฤติกรรมเข้าข่ายเกี่ยวข้องกับบัญชีม้า หากตรวจแล้วไม่พบความผิดจะได้รับการปลดระงับทันที
สถานการณ์ปัจจุบันมีคดีเข้าสู่ระบบวันละกว่า 1,000 เรื่อง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะแจ้งธนาคารให้ “ระงับเฉพาะวงเงินที่สงสัย” จากข้อมูลผู้เสียหาย ไม่ได้กระทบยอดเงินทั้งหมดในบัญชี ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับผลกระทบแต่เป็นผู้บริสุทธิ์สามารถติดต่อศูนย์ฯ โดยแจ้งข้อมูล 4 รายการ ได้แก่ ชื่อ-นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชน เลขบัญชี และชื่อธนาคาร เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบและปลดล็อกภายในไม่เกินครึ่งวัน
จากการติดตามธุรกรรมที่เข้าข่ายส่วนใหญ่พบว่าเกี่ยวข้องกับเงินตั้งแต่หลักแสนถึงหลักล้านบาท ไม่ใช่กลุ่มพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยที่ใช้วงเงินไม่มาก ข้อสงสัยเรื่องการเลือกปฏิบัติยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ทุกบัญชีที่เข้าข่ายจะถูกระงับอย่างเท่าเทียม แม้แต่บริษัทขนาดใหญ่ก็ไม่เว้น เพียงแต่วงเงินที่ถูกระงับอาจเล็กน้อยจนไม่ส่งผลกระทบให้รู้สึกได้ชัด
การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตาม
กฎหมาย โดยได้รับความร่วมมือจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พร้อมเตรียมเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบธุรกรรม เพื่อคัดแยกบัญชีที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมออกจากบัญชีผู้บริสุทธิ์อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ลดผลกระทบต่อประชาชนให้น้อยที่สุด
“หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังหารือเพื่อพัฒนาระบบกลั่นกรองธุรกรรมให้สามารถตรวจสอบตั้งแต่ต้นทาง ลดโอกาสเกิดความเสียหาย ซึ่งต้องอาศัยการบูรณาการข้อมูลและความร่วมมือจากทุกฝ่ายเพื่อให้การแก้ไขปัญหามีประสิทธิภาพสูงสุด”
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ กล่าว
ศปอท.หารือร่วมเปิดคู่สาย1441ช่วย
นายเอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) หรือศูนย์ AOC 1441 กล่าวว่า ได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ข้อสรุปให้ AOC 1441 มีอำนาจถอนการอายัดบัญชีในกรณีที่เป็นเพียงการระงับชั่วคราว
ทั้งนี้ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบสามารถโทรสายด่วน 1441 กด 2 เพื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ หากผลการตรวจสอบชี้ชัดว่า ไม่เกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัย ศูนย์ฯ จะดำเนินการปลดล็อกบัญชีทันที ภายใต้อำนาจของหัวหน้าศูนย์ AOC 1441 แต่หากเป็นการอายัดตามหมายศาลภายใต้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) จะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการต่อไป
สำหรับปัญหาที่ประชาชนร้องเรียนว่า “โทรเข้าศูนย์ติดยาก”
นายเอกพงษ์ ยืนยันว่า ปัจจุบันศูนย์มีคู่สายมากกว่า 100 สาย ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา ศูนย์ได้รองรับการโอนสายตรงจากธนาคาร เพื่อให้ประชาชนแจ้งอายัดบัญชีได้โดยเร็ว ส่งผลให้จำนวนสายเพิ่มขึ้นอย่างมาก และทำให้บางช่วงเวลาเกิดภาวะคอขวด






