- 18 ก.ย. 2568
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาชี้แนะโครงการ คนละครึ่ง 2568 ในรัฐบาลนายอนุทิน ต้องคำนึงถึง3ข้อต่อไปนี้ แต่ก็มีข้อดีหลายอย่าง
เกี่ยวกับโครงการ"คนละครึ่ง 2568" ขวัญใจคนไทย ในยุคของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่เตรียมเอามาปัดฝุ่นคืนชืพอีกครั้ง คาดว่าจะเริ่มต้นโครงการ คนละครึ่ง ได้ ในเดือน ตุลาคม 2568 นี้ ซึ่งก็ต้องรอความชัดเจนในการแถลงนโยบายจากรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทาง นาย ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาแสดงความคิดเห็น ในมุมที่ว่า “คนละครึ่ง”ถูกวินัยการเงินการคลังตามที่รัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จะนำโครงการ "คนละครึ่ง" กลับมาใช้ให้ถูกหลักการวินัยการเงินการคลัง ต้องคำนึงต่อไปนี้
- 1. ต้องประกาศแผนใช้คืนหนี้สาธารณะ
ขณะนี้ ไทยมีหนี้สาธารณะ 11.7 ล้านล้านบาท คิดเป็น 63.6% ของจีดีพี
แต่ละปี รัฐขาดดุลงบประมาณอีก 8 แสนล้านบาท และตัวเลขขาดดุลจะเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งจะทำให้รัฐบาลต้องกู้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นทุกปีเพื่อปิดงบขาดดุล จึงคาดว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ จีดีพี จะพุ่งขึ้นไปติดเพดาน 70% ภายในเวลาอีกเพียงแค่ 3 ปีข้างหน้า
ดังนั้น ถึงแม้จะบังเอิญมีงบประมาณเหลือสำหรับรองรับโครงการ "คนละครึ่ง" แต่เนื่องจากแต่ละปี งบขาดดุล จึงมีผลเป็นการกู้หนี้สาธารณะมาเพื่อทำโครงการ "คนละครึ่ง" นั่นเอง
ในขณะนี้ กรณีมีงบประมาณเหลือนั้น รัฐบาลต้องชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบกับความจำเป็นเร่งด่วน หลายด้านหลายสาขาที่จะต้องแย่งงบประมาณก้อนนี้ เช่น
-การเยียวยาผู้ค้ารายย่อยชายแดนไทย-กัมพูชา
-การเยียวยาปรับตัวของเกษตรกรเพื่อรับมือภาษีทรัมป์
จึงขอแนะนำให้รัฐบาลชี้แจงชัดเจนแก่ประชาชนก่อนเดินหน้าโครงการ "คนละครึ่ง" ว่า ได้คำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วนอื่น และกันงบประมาณเตรียมรองรับเอาไว้ หรือไม่ เท่าไหร่
รวมทั้งรัฐบาลมีแผนการจะหาเงินมาชำระหนี้สาธารณะ ที่จะเกิดขึ้นจากโครงการ "คนละครึ่ง" ครั้งนี้ เมื่อไหร่ อย่างไร
- 2. โครงการที่เป็นรัฐสวัสดิการต้องจำกัดเฉพาะกลุ่มเปราะบาง
รัฐบาลจะต้องแจกแจงให้ชัดเจนว่า โครงการ "คนละครึ่ง" ของรัฐบาลอนุทินนั้น จะเป็นรัฐสวัสดิการ หรือจะเป็นกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะสองวัตถุประสงค์นี้มีประเด็นพิจารณาเรื่องวินัยการเงินฯแตกต่างกัน
กรณีตั้งวัตถุประสงค์ให้เป็นรัฐสวัสดิการ ก็ต้องจำกัดวงเฉพาะกลุ่มเปราะบาง
เพราะการเอาภาษีและหนี้สาธารณะของคนไทยทั้งชาติ ไปอุดหนุนเปรอะไปหมด รวมไปถึงคนที่ช่วยตัวเองได้อยู่แล้วนั้น จะเป็นนโยบายที่ผิดหลักวิชาการคลัง จะเป็นนโยบายการคลังเพียงเพื่อให้ความนิยมทางการเมืองกระจายกว้างขวางมากที่สุด
ทั้งนี้ รัฐบาลอนุทินต้องไม่อ้างอิงเปรียบเทียบกับรัฐบาลประยุทธ์ เพราะวิกฤตโควิดที่ล็อคดาวน์คนอยู่บ้านได้ผ่านพ้นไปแล้ว และโครงการ "คนละครึ่ง" ของรัฐบาลประยุทธ์ก็ได้เพิ่มหนี้สาธารณะไปมากแล้ว มาถึงรัฐบาลอนุทิน ต้องเข้ายุคประหยัดและหาทางแก้ปัญหาหนี้แล้ว
- 3.โครงการที่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจต้องมุ่งให้ได้ผลต่อ จีดีพี
กรณีตั้งวัตถุประสงค์ให้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ต้องเล็งเป้าหมายไปที่ ‘กลุ่มคนที่มีศักยภาพ’ ที่จะควักกระเป๋า “ครึ่ง”
เงื่อนไขต้องปรับให้แตกต่างไปจากสมัยรัฐบาลประยุทธ์ โดยต้องกำหนดให้ ‘กลุ่มคนที่มีศักยภาพ’ ควักกระเป๋า “ครึ่ง” เป็นการนำรัฐบาลไปก่อน เช่น รัฐบาลจะให้สิทธิ “ครึ่ง” เป็น 2 ระดับ ระดับที่หนึ่งเมื่อจ่ายเกิน 500 บาทไปแล้วรัฐจะชดเชยให้ 250 บาท และระดับที่สองเมื่อจ่ายเกิน 1,000 บาทไปแล้วรัฐจะชดเชยให้ 500 บาท เป็นต้น
นอกจากนี้ ต้องบังคับให้ ‘กลุ่มคนที่มีศักยภาพ’ เร่งการใช้จ่าย โดยกำหนดเงื่อนไขว่า สิทธิที่รัฐมอบให้ในแต่ละวัน ถ้าผู้รับไม่ใช้สิทธิภายในวันนั้น สิทธิดังกล่าวจะสิ้นอายุ เป็นต้น
ผมสรุปว่า โครงการ "คนละครึ่ง" มีข้อดีหลายอย่าง เช่น ลงไปช่วยพ่อค้ารายย่อย ทำได้เร็วเพราะมีระบบทำงานพร้อมอยู่แล้ว แต่ในข้อเท็จจริง รัฐบาลย่อมมีหน้าที่ต้องใช้จ่ายงบประมาณอย่างประหยัดหวงแหน มิใช่แบบสุรุ่ยสุร่าย และการทำโครงการนี้ย่อมมีผลทำให้ตัวเลขขาดดุลงบประมาณถ่างออกไปอีกเรื่อยๆ
นอกจากนี้ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังกล่าวอีกว่า เพื่อยึดหลักการวินัยการเงินฯ รัฐบาลควรจะกำหนดวงเงินโดยรวมเพิ่อใช้สำหรับโครงการนี้เพียงพอเหมาะพอสม และต้องชี้แจงประเด็นข้างต้นต่อประชาชนอย่างละเอียดชัดเจน ก่อนจะเดินไปข้างหน้า






