สันธนะ ยื่นเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลนักการเมือง4คน ระดับผู้บริหารพรรค มีส่วนรู้เห็นหรือได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนธุรกิจบริเวณพื้นที่ชายแดนประเทศไทย-กัมพูชา

22ก.ย.68 นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล เปิดเผยว่าได้นำเอกสารหลักฐานจำนวน 50 หน้า ยื่นต่อเจ้าหน้าที่พรรคการเมืองชื่อดัง โดยอ้างว่าเกี่ยวข้องกับนักการเมืองระดับผู้บริหารพรรค 4 ราย ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องหรือได้รับผลประโยชน์จากธุรกิจบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา

 

ก่อนหน้านี้ นายสันธนะเคยทำหนังสือเพื่อขอนัดหมายส่งมอบข้อมูลดังกล่าวให้กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 20–21 กันยายน แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ จึงมีการทำหนังสือนัดหมายครั้งที่สอง พร้อมนำเอกสารบางส่วนมาส่งมอบด้วยตนเอง โดยย้ำว่า หากไม่ปรากฏตัว คนอาจเข้าใจว่าเพียงพูดโดยไร้การกระทำ การส่งมอบครั้งนี้จึงถือเป็น “ออร์เดิร์ฟ” ก่อนจะมีการขยายรายละเอียดเพิ่มเติม

สันธนะ แฉ  4 นักการเมืองใหญ่ เอี่ยวผลประโยชน์ธุรกิจชายแดนไทย-เขมร
นายสันธนะระบุว่า ในบรรดานักการเมืองทั้ง 4 ราย มีรัฐมนตรีอยู่ถึง 2 คน โดยปฏิเสธที่จะเปิดเผยชื่อ แต่ได้เปรียบเปรยเป็นนัย เช่น หนึ่งในนั้นมีพี่ชายที่เคยถูกดำเนินคดีจนต้องหลบหนี อีกหนึ่งรายมักกล่าวหาผู้อื่นว่าเกาะกระแสตนเอง ขณะที่รัฐมนตรีอีก 2 ราย ถูกเปรียบเปรยว่าเป็นเหมือน “ผ้าพับไว้” ที่ไม่เคยหายไปจาก ครม. แม้จะถูกมองว่าเป็นรัฐมนตรีที่โลกลืม

สันธนะ แฉ  4 นักการเมืองใหญ่ เอี่ยวผลประโยชน์ธุรกิจชายแดนไทย-เขมร

นอกจากนี้ นายสันธนะยังตั้งข้อสังเกตต่อคำปราศรัยของนายอนุทินที่ระบุว่าจะ “ปิดด่าน” โดยมองว่าควรชี้แจงให้ชัดเจนว่าเป็นการปิดยาวถึง 4 เดือน พร้อมเปรียบเปรยว่า หากมีการกล่าวว่า “หนูยังไม่กล้าเปิด แล้วสุนัขที่ไหนจะกล้าเปิด” ก็อยากให้มีการตรวจสอบสุนัขตัวดังกล่าวด้วย เพราะตนมีข้อมูลว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์เพื่อแลกกับการเปิดด่าน

ย้ำว่าไม่ได้มีเจตนามุ่งโจมตีคุณสมบัติรัฐมนตรี แต่ต้องการให้สังคมและรัฐบาลหันมาให้ความสำคัญกับความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติ พร้อมระบุว่าหลักฐานที่ถืออยู่ไม่ได้มีเพียง 50 หน้า แต่รวมทั้งหมดอาจมากถึง 5,000 หน้า หากจำเป็นจะยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.

สันธนะ แฉ  4 นักการเมืองใหญ่ เอี่ยวผลประโยชน์ธุรกิจชายแดนไทย-เขมร

นายสันธนะยังเปิดเผยว่า หลังมีการเคลื่อนไหว ได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์เพื่อขอเจรจา แต่ปฏิเสธที่จะพูดคุยโดยตรง โดยให้เหตุผลว่าต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก

 

สำหรับมุมมองต่อการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมา เขาเห็นว่าไม่สามารถสะท้อนมาตรฐานของการเลือกตั้งใหญ่ได้ เนื่องจากขึ้นอยู่กับสถานการณ์และอารมณ์ของประชาชน ขณะที่การเลือกตั้งใหญ่ซึ่งจะมีขึ้นในอีก 4 เดือนข้างหน้า อาจพลิกผันได้ตลอดเวลา