ไทยวาดฝ่ายเดียว กัมพูชา ชี้ แผนที่ชายแดนสระแก้ว ไม่ถูกต้องทางเทคนิค

กัมพูชา ชี้ แผนที่ชายแดนจังหวัดสระแก้ว ไทยวาดฝ่ายเดียว ไม่ถูกต้องทางเทคนิคและอาจทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด

วันที่ 22 กันยายน 2568 พล.ต. เชง คุน รองอธิบดีกรมภูมิศาสตร์ กระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงผ่านโทรทัศน์ ยืนยันว่า แผนที่ชายแดนบริเวณจังหวัดสระแก้วที่กองทัพไทยและสื่อไทยนำเสนอ เป็นแผนที่ที่จัดทำขึ้นโดยฝ่ายเดียว ไม่ถูกต้องทางเทคนิค และอาจทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด

 

ไทยวาดฝ่ายเดียว กัมพูชา ชี้ แผนที่ชายแดนสระแก้ว ไม่ถูกต้องทางเทคนิค

 

 

 


 

พล.ต. เชง คุน ระบุว่า เส้นสีแดงและสีน้ำเงินบนแผนที่ดาวเทียมดังกล่าว ไม่ใช่เส้นเขตแดนที่เป็นทางการ แต่เป็นเพียงเส้นเชื่อมที่ฝ่ายไทยสร้างขึ้นเอง ซึ่งกัมพูชาไม่เคยยอมรับให้ถือเป็นเส้นแบ่งเขตแดนตามข้อตกลงใด ๆ พร้อมย้ำว่า เอกสารที่มีลายเซ็นของลาย เซียงลี อดีตหัวหน้าทีมสำรวจกัมพูชา และหัวหน้าทีมสำรวจไทยนั้น เป็นเพียงการรับรองตำแหน่งของด่านชายแดน ไม่ใช่การยอมรับเส้นเขตแดนถาวร

 

ไทยวาดฝ่ายเดียว กัมพูชา ชี้ แผนที่ชายแดนสระแก้ว ไม่ถูกต้องทางเทคนิค

เขากล่าวเพิ่มเติมว่า การสำรวจภาคพื้นดินบ่งชี้ว่ามีพลเมืองไทยเข้าไปยึดครองและใช้ประโยชน์ในพื้นที่ฝั่งกัมพูชา ขณะที่ฝ่ายไทยกลับกล่าวหาว่าพลเมืองกัมพูชาบุกรุก ทั้งนี้ เหตุที่กัมพูชาไม่เคยเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะมาก่อน เนื่องจากการเจรจาภายใต้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ต้องเป็นความลับ

รองอธิบดีกรมภูมิศาสตร์ย้ำว่า กัมพูชายังคงยึดหลักตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ภายใต้อนุสัญญา ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 รวมถึงบันทึกความเข้าใจปี 2000 ที่กำหนดจุดด่านชายแดนร่วมกัน 74 แห่ง โดยกัมพูชาไม่ได้อ้างสิทธิ์เหนือดินแดนไทย แต่เรียกร้องให้ไทยเคารพอธิปไตยของกัมพูชาเช่นกัน

 

นอกจากนี้ เขายังอ้างถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มอบหมายให้ JBC ดำเนินการแก้ไขปัญหาชายแดนในพื้นที่หมู่บ้านเปรยจันและโจกเจย (บ้านหนองหญ้าแก้วและบ้านหนองจาน) ตามบันทึกการประชุมข้อ 8

 

พล.ต. เชง คุน เรียกร้องให้กองทัพไทย หน่วยงานท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยุติการใช้แผนที่หรือภาพถ่ายดาวเทียมที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งอาจสร้างความสับสนและความตึงเครียด พร้อมขอให้ไทยเคารพข้อตกลงทั้งหมด รวมทั้งเจตนารมณ์ของการประชุม GBC และหลีกเลี่ยงการกระทำใด ๆ ที่อาจบ่อนทำลายความไว้วางใจระหว่างสองประเทศ