- 20 ต.ค. 2568
“คนหายสู่อาชญากรรมข้ามชาติ! มูลนิธิกระจกเงา เปิดข้อมูลคนหายถูกพาไปทำงานสแกมเมอร์ จี้รัฐบาลไทยเร่งจัดการปัญหา และช่วยเหลือเคสที่ยังติดอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน
19ต.ค.68 ที่มูลนิธิกระจกเงา นายสมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา นายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย น.ส.กนกวรรณ พูลเพิ่ม รองหัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา และ น.ส.กรรณิกา โมเล้น หัวหน้าฝ่ายรับแจ้งเหตุคนหาย พร้อมญาติของเด็กหญิงวัย 16 ปี ที่หายไปจากการถูกหลอกพาไปทำงานสแกมเมอร์ในประเทศเพื่อนบ้านและยังไม่ทราบชะตากรรม ร่วมกันแถลงข่าวในประเด็นเรื่อง “คนหายสู่อาชญากรรมข้ามชาติ สแกมเมอร์-บัญชีม้า-ค้ามนุษย์ยุคใหม่”
นายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา เปิดเผยว่า สถานการณ์คนที่หายสู่อาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งเชื่อมโยงกับขบวนการสแกมเมอร์ บัญชีม้า และการค้ามนุษย์ยุคใหม่ จากสถิติรับแจ้งเหตุของมูลนิธิกระจกเงาตลอดปี 2568 พบการแจ้งคนหายที่ถูกพาไปเป็นสแกมเมอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเปิดบัญชีม้า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และแก๊งหลอกให้ลงทุน รวมกว่า 119 ราย อายุเฉลี่ย 26 ปี โดยในจำนวนนี้เป็นชาย 73 ราย หญิง 46 ราย รวมทั้งมีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีถึง 18 ราย มีอายุน้อยสุดเพียง 15 ปี และมีผู้สูงอายุถูกหลอกไปทั้งหมด 8 ราย มีอายุมากสุด 65 ปี
จะเห็นได้ว่าทุกช่วงวัยสามารถถูกหลอกไปเป็นสแกมเมอร์ได้หมด โดยในจำนวนนี้มี 25 รายที่ปัจจุบันนี้ยังไม่ได้กลับประเทศไทยและกำลังรอความช่วยเหลือ ซึ่งสถานะตอนนี้คือยังไม่พบตัวและยังไม่ทราบชะตากรรม
สำหรับสถานการณ์ตอนนี้ แม้มีการปิดชายแดนไทย-กัมพูชาตั้งแต่เดือนมิถุนายน แต่ยังมีข้อมูลการหลั่งไหลไปของคนไทยที่ถูกหลอกชักชวนไปทำงานถึง 46 ราย เมื่อข้ามแดนไปแล้ว เหยื่อจะถูกกักขังในสถานที่ปิด ยากที่จะหลบหนี หากไม่ยอมทำงานอาจไม่ปลอดภัยหรือถูกส่งไปที่อื่น การขาดเสรีภาพเช่นนี้ คือ การบังคับใช้แรงงานโดยสภาพ นี่คือการค้ามนุษย์ยุคใหม่ที่ไม่ต้องใช้การล่ามโซ่เฆี่ยนตี แต่เป็น “ช่องเทา” ที่บังคับและควบคุมเสรีภาพอย่างแนบเนียนให้ไปทำสิ่งผิดกฎหมาย หลอกลวงคนอื่นอีกทอด ซึ่งเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ
นายเอกลักษณ์ ยังเปิดเผยอีกว่า วิธีการที่หลอกลวงชักชวนให้เหยื่อหลงเชื่อนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการประกาศรับสมัครผ่าน Social Media ตามกลุ่มหางาน โดยหลอกลวงว่า จะให้ค่าตอบแทนที่สูง รวมทั้งมีกรณีที่สแกมเมอร์ถูกหลอกให้รักหรือโรแมนซ์สแกมชักชวนให้ไปทำงานด้วยกันหรือหลอกหาเหยื่ออีกทอด โดยจะได้รับค่านายหน้า
เมื่อเหยื่อหลงเชื่อและตกลงที่จะไปทำงานแล้ว ส่วนใหญ่จะมีวิธีการให้เหยื่อนั่งรถโดยสารสาธารณะหรือมีแท็กซี่มารับถึงหน้าบ้าน โดยนายหน้าจะออกค่าเดินทางให้ หรือบางทีก็จะให้เหยื่อเดินทางด้วยตนเอง
สิ่งวิธีการเหล่านี้ ก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกหลอกไปทำงาน คือทำให้มุมมองของเจ้าหน้าที่รัฐที่มองว่า กลุ่มคนเหล่านี้นั้นสมัครใจที่จะไปทำงานเอง ซึ่งตนมองว่า นี่คือ "การสมัครใจโดยสภาพจำยอม" มากกว่า เพราะปัจจัยทั้งภาระปัญหาด้านเศรษฐกิจ การศึกษา ครอบครัว และปัญหาอื่น ๆ ที่ทำให้เหยื่อไม่มีทางเลือก เมื่อเห็นโฆษณางานว่ามีรายได้ดีก็หลงเชื่อไปทำ ก่อนที่สุดท้ายจะกลายเป็นการถูกจำกัดเสรีภาพและถูกทรมานทำร้ายร่างกาย แล้วบังคับขู่เข็ญให้ทำงานเป็นแก๊งสแกมเมอร์โดยไม่เต็มใจ ซึ่งเป็นไปตามที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า นี่คือการค้ามนุษย์ยุคใหม่
ดังนั้นตนจึงมองว่า หน่วยงานของรัฐไม่ควรใช้มุมมองที่ผลักดันให้เหยื่อกลายเป็นผู้สมัครใจกระทำความผิด แต่ต้องดำเนินการคัดแยกกลุ่มบุคคลที่ถูกหลอกให้สมัครใจ ไปเป็นแก๊งสแกมเมอร์กับคนที่ตั้งใจจะไปทำผิดกฎหมายโดยเฉพาะออกมา ซึ่งรัฐบาลต้องร่วมมือกับนานาชาติในการช่วยคนไทยที่ตกเป็นเหยื่อให้กลับมาและต้องดูแลสกัดกั้นไม่ให้พวกเขากลับไปกระทำความผิดซ้ำซ้อนอีก แบบที่เคยเกิดขึ้นกับหลาย ๆ เคสที่ผ่านมาที่ให้การช่วยเหลือคนไทยที่ไปเป็นสแกมเมอร์ แต่สุดท้ายก็กลับไปก่อเหตุซ้ำอีก
ด้าน น.ส.กรรณิกา โมเล้น หัวหน้าฝ่ายรับแจ้งเหตุคนหาย มูลนิธิกระจกเงา ได้ยกกรณีศึกษาเคสที่ถูกหลอกไปทำงานสแกมเมอร์ รายแรกเป็นชายวัยกลางคนอายุ 42 ปีที่ตกอยู่ในสถานะคนว่างงาน ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่าย ถูกหลงเชื่อคำชักชวนของคนรู้จักผ่านเกมออนไลน์ แอบอ้างชื่อบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในการเปิดรับสมัครงานและยื่นข้อเสนอออกค่าเดินทางกับค่าที่พักให้ โดยให้เคสเดินทางไปอบรมงานที่แม่สอด จ.ตาก เป็นงานเทรดเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี่และอ้างว่าถูกรับรองโดย กลต. และถูกพาเดินข้ามผ่านช่องทางธรรมชาติ อ้างว่าข้ามไปอบรมเพิ่มเติมในประเทศเมียนมาร์
จากนั้นถูกบังคับให้ทำงานเป็นโรแมนซ์สแกม สร้างโปร์ไฟล์ปลอมในแอปพลิเคชั่นยอดนิยมเพื่อหลอกคนอื่น มีเป้าหมายเป็นผู้หญิง ส่วนสถานที่ทำงานเป็นตึกสูงคล้ายคอมมูนิตี้ เคสนี้ผู้เสียหายแอบใช้โทรศัพท์ส่งข้อความติดต่อแจ้งขอความช่วยเหลือมาที่มูลนิธิกระจกเงาด้วยตนเอง ต่อมาสามารถประสานเจ้าหน้าที่ทหารชายแดนเข้าให้การช่วยเหลือได้สำเร็จ
รายที่ 2 เป็นคู่รักวัยรุ่นอายุเพียง 18 ปี วุฒิการศึกษาระดับชั้น ป.6 สมัครไปเป็นแอดมินเวบไซต์จากประกาศรับสมัครงานในโลกออนไลน์ กลับกลายเป็นการถูกบังคับทำงานคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงคนไทยที่เมืองปอยเปตประเทศกัมพูชา ถูกบังคับให้ทำงานในสถานที่ที่ได้รับการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาและติดอาวุธ ทุกคนทำงานที่นี่มีชะตากรรมเดียวกันคือถูกหลอกมา โดยปัจจุบันวัยรุ่นผู้หญิงได้รับการปล่อยตัวกลับไทยเพราะตั้งครรภ์ จึงไม่สามารถทำงานได้ตามยอด ส่วนวัยรุ่นชายยังคงถูกบังคับให้ทำงานที่ฝั่งประเทศกัมพูชาแทนฝ่ายหญิง รวมทั้งจนถึงตอนนี้ยังไม่ทราบชะตากรรมของฝ่ายชาย
ขณะที่ น.ส.กนกวรรณ พูลเพิ่ม รองหัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่า นอกจากคนไทยที่ถูกหลอกไปเป็นสแกมเมอร์แล้ว ยังมีชาวต่างชาติที่มูลนิธิกระจกเงาได้รับแจ้งเป็นคนหายถูกหลอกไปเช่นกัน มีทั้งชาวอินเดีย ศรีลังกา ไต้หวัน และจีน ทั้งหญิงและชาย อยู่ในวัยเริ่มต้นทำงาน หางานออนไลน์ และเชื่อว่าตนได้งานแล้ว จึงเดินทางมาทำงาน โดยมีประเทศไทยเป็นทางผ่าน แล้วผ่านแดนต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งฝั่งอ.แม่สอด จ.ตาก และ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย จากนั้น ถูกส่งต่อไป บังคับให้ทำงานเป็นสแกมเมอร์หลอกคนในรูปแบบต่าง ๆ
กรณีตัวอย่างคือ ทางมูลนิธิกระจกเงาได้รับแจ้งเหตุมีหญิงชาวไต้หวันที่หางานออนไลน์ แต่ถูกหลอกให้เดินทางมาทำงานที่ประเทศไทย โดยให้เดินทางมายัง จ.เชียงใหม่ ก่อนมีนายหน้าพาข้ามแดนไปยังสามเหลี่ยมทองคำ ประเทศลาว และถูกขายต่อไปยังเขตปกครองตนเองโกก้าง รัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์ โดยถูกบังคับให้เป็นสแกมเมอร์ ต่อมายังถูกเรียกค่าไถ่ตัว ซึ่งพ่อแม่ได้จ่ายค่าไถ่ไปแล้วเป็นเงินกว่าสองแสนบาท แต่ลูกสาวก็ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว พ่อแม่ของคนหายพยายามขอความช่วยเหลือมายังหน่วยงานทั้งในประเทศเมียนมาร์และประเทศไทย แต่ไม่มีหน่วยใดสามารถให้ความช่วยเหลือได้ ขณะนี้ยังไม่ทราบชะตากรรมของเหยื่อรายนี้
จากข้อมูลการรับแจ้งคนหายชาวต่างชาติที่ถูกหลอกให้มาเป็นสแกมเมอร์ พบว่า ประเทศไทยถูกใช้เป็น “ทางผ่าน” และเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อ สำหรับ รับ-ส่ง คนให้กลุ่มสแกมเมอร์ในประเทศเพื่อนบ้านของไทย
ด้านนายสมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่า สแกมเมอร์ไม่ใช่อาชญากรรมธรรมดา แต่คือ "อาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ" ในรูปแบบใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี มีนายทุนขนาดใหญ่ ข้าราชการ และนักการเมืองบางส่วนได้รับประโยชน์หรือมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลัง เช่น กรณีที่สหรัฐอเมริกายึดทรัพย์นักธุรกิจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการนี้โดยใช้กฎหมายการค้ามนุษย์มาดำเนินการ
ขณะที่นานาชาติกำลังปกป้องประชาชนของเขาจากอาชญากรรมในรูปแบบใหม่และชี้ไปที่กัมพูชา แต่ขบวนการดังกล่าวยังปรากฎตัวอยู่ในประเทศเมียนมาร์และลาว ซึ่งประเทศเหล่านี้ล้วนมีชายแดนติดต่อกับประเทศไทยและเราถูกใช้เป็นทางผ่าน ความเงียบหรือการตอบโต้ที่ล่าช้าและไม่สมส่วนต่อปัญหาที่โลกกำลังตื่นตัวอยู่ในขณะนี้ อาจนำไปสู่คำถามและข้อสังเกตว่า มีข้าราชการและนักการเมืองไทยเกี่ยวข้องใช่หรือไม่ เพราะข้อเท็จจริงที่ปรากฎในประเทศไทยและแหล่งอาชญากรรมเพื่อนบ้านมันชัดเจนและรัฐบาลไทยควรตอบโต้ดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เหมือนดังเช่นสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้ ไม่งั้นประเทศไทยอาจจะถูกมองว่าเป็นพื้นที่สีเทาเช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านเรา
ส่วนการที่ผู้นำประเทศกัมพูชาอ้างว่า มีข้อมูลที่จะแฉเกี่ยวกับนักการเมืองไทยนั้น ตนมองว่าเป็นข้อมูลที่ไม่เกินจริง โดยจะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาผู้นำหรือนักการเมืองไทยเงียบและไม่ตอบโต้ในประเด็นดังกล่าว รวมทั้งตั้งข้อสังเกตในช่วงที่ประเทศไทยปิดชายแดนกับกัมพูชาว่า ยังมีปัญหาลักลอบนำคนไทยข้ามแดนไปทำงานในประเทศกัมพูชา โดยเดินทางข้ามผ่านช่องทางธรรมชาติจุดเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ซึ่งปัญหาดังกล่าวยังคงปรากฏตามหน้าสื่อมวลชน นั่นยิ่งทำให้ตนและคนไทยอีกหลายคนตั้งข้อสงสัยว่า นักการเมืองและข้าราชการตามชายแดนนั้นมีส่วนรู้เห็นหรือไม่






