ดร.สาวทุกข์หนัก แม่หลงมิจฉาชีพ สูญไปแล้ว 10 ล้าน เตือนไงก็ไม่ฟัง

ดร.สาว ร้อง สายไหมต้องรอด ช่วยเหลือคุณแม่วัย 74 ปี อดีตพยาบาลโรงพยาบาลชื่อดัง หลงเชื่อมิจฉาชีพสูญเงินไปแล้ว 10 ล้าน เตือนเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง

ด๊อกเตอร์สาว ร้อง สายไหมต้องรอด ช่วยเหลือคุณแม่วัย 74 ปี อดีตพยาบาลโรงพยาบาลชื่อดัง ถูกแก๊งสแกมเมอร์ใช้รูปผู้บริหารช่องดัง หลอกนานนับเดือน เตือนเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง สูญเงินไปแล้วนับ 10 ล้าน ล่าสุดลูกสาวพาตำรวจพื้นที่ไปช่วยพูดแม่ก็ไม่เชื่อ สวนกลับ "ตำรวจจะไปรู้เรื่องอะไร"

 

ดร.สาวทุกข์หนัก แม่หลงมิจฉาชีพ สูญไปแล้ว 10 ล้าน เตือนไงก็ไม่ฟัง

ดร.สาวทุกข์หนัก แม่หลงมิจฉาชีพ สูญไปแล้ว 10 ล้าน เตือนไงก็ไม่ฟัง

 

จากกรณี นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ได้รับร้องเรียนจาก ดร.สาวรายหนึ่ง หลังคุณแม่วัย 74 ปี อดีตพยาบาลของโรงพยาบาลชื่อดัง ถูกแก๊งสแกมเมอร์ใช้รูปภาพผู้บริหารช่องดัง หลอกให้ลงทุนทองคำและสกุลเงิน จนสูญเงินไปแล้วรวมนับ 10 ล้านบาท ตลอดระยะเวลากว่า 3 เดือน

ล่าสุดทีมข่าวได้ไปพูดคุยกับ ดร.มิ้น (นามสมมติ) อายุ 41 ปี ลูกสาวผู้เสียหาย เล่าด้วยความกังวลว่า คุณแม่ถูกมิจฉาชีพหลอกให้ลงทุนไปแล้วเกือบ 10 ล้านบาท และตอนนี้แม่ยังคงเชื่อมั่นว่าเป็นการลงทุนแนวใหม่ที่ได้เงินจริง พยายามหาเงินมาเพิ่มเพื่อไปปิดการลงทุนที่เสียไปให้ได้

เธอเล่าต่อว่า มิจฉาชีพคนแรกได้ใช้รูปโปรไฟล์ของผู้บริหารช่องดัง ชักชวนให้ลงทุนทองคำ โดยคาดว่าแม่น่าจะรู้จักมิจฉาชีพผ่านแอปพลิเคชัน TikTok เพราะแม่ชอบปัด TikTok เล่นเวลาอยู่บ้านว่าง ๆ กระทั่งมิจฉาชีพมีการแอดไลน์คุณก่อนจะมีการโทรคุย ตีสนิท และเข้ามาจีบ โดยคุณแม่ทยอยโอนเงินให้คนแรกไปแล้วประมาณ 3-4 ล้านบาท เป็น 10 ครั้ง ตั้งแต่เดือนสิงหาคม

ต่อมาช่วงต้นเดือนกันยายน คุณแม่ก็เริ่มรู้จักมิจฉาชีพคนที่สอง มีการชักชวนลงทุนสกุลเงิน ซึ่งคุณแม่เสียเงินไปกับรายนี้อีกประมาณ 4-5 ล้านบาท โดยในทุก ๆ วัน คุณแม่จะมีการโทรคุยกันทุกวัน วันละหลายชั่วโมง ช่วงดึกก็โทร โดยแม่หวังว่าจะได้เงินจากปันผลที่ลงทุนไปคืนทั้งหมด แต่สุดท้ายแม่กลับได้เงินคืนเพียงเล็กน้อยประมาณหลักพันเท่านั้น โดยมิจฉาชีพมีการโอนให้แม่ประมาณ 3-4 ครั้ง พร้อมกับอ้างว่าติดขัดเรื่องการโอนเงินเล็กน้อย

ดร.สาวทุกข์หนัก แม่หลงมิจฉาชีพ สูญไปแล้ว 10 ล้าน เตือนไงก็ไม่ฟัง

 

ดร.มิ้น เล่าต่อว่า ช่วงหลังตนเองมารู้ว่าแม่น่าจะถูกมิจฉาชีพหลอก เพราะความแตกเมื่อคุณแม่พยายามนำแหวนเพชรและทองคำไปจำนำเพื่อนำเงินสดมาโอนให้มิจฉาชีพ ล่าสุดเมื่อเช้านี้ (29 ต.ค.) คุณแม่ยังได้โอนเงินไปให้มิจฉาชีพอีก 1 แสนบาท และยังถามหาโฉนดที่ดินอีกหลายแปลง

ดร.มิ้น บอกต่อว่า เธอพยายามพูดคุยอธิบายว่าแม่กำลังถูกแก๊งสแกมเมอร์หลอก แต่คุณแม่ไม่เชื่อและโกรธมาก ด่าตนเองกลับ พร้อมกับตอบกลับมาว่า "เสี่ยงก็เสี่ยง ถ้าไม่ได้เงินคืนก็ถือว่าเสียค่าโง่ไป!"

ดร.มิ้น ยังตัดพ้อทั้งน้ำตาว่า ที่ผ่านมา ตนเองเคยพาตำรวจ สน.ดินแดง ในพื้นที่มาอธิบายอย่างละเอียดถึงพฤติกรรมของมิจฉาชีพ แต่คุณแม่ก็ไม่เชื่อเช่นกัน เมื่อพาตำรวจแต่งเครื่องแบบเต็มยศมา คุณแม่กลับพูดไล่ตำรวจไปว่า "ตำรวจจะไม่รู้เรื่องอะไร ฉันจัดการชีวิตตัวเองได้ ไม่ต้องมายุ่ง" ซึ่งตัวเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปแล้ว

ขณะเดียวกันทีมข่าวยังเคยเดินทางเพื่อไปแจ้งความกับตำรวจ เพื่อให้ช่วยทำเรื่องอายัดบัญชีของแม่ทั้งหมด เพราะกลัวว่าแม่จะสูญเงินจนหมดตัวและจะตรอมใจ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับอ้างว่าไม่สามารถช่วยอายัดบัญชีอะไรได้หากผู้เสียหายไม่เดินทางมาแจ้งความด้วยตัวเอง

สุดท้าย ดร.มิ้น วิงวอนให้ตำรวจให้ความร่วมมือในการรับฟัง และช่วยอายัดเงินของคุณแม่ โดยมองว่าเพียงแค่มีเบาะแสก็ควรระงับบัญชีแม่ได้แล้ว การที่ตำรวจมองว่าผู้เสียหายไม่แจ้งความจึงอายัดไม่ได้นั้น เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และเชื่อว่ายังมีผู้เสียหายอีกจำนวนมากที่ถูกหลอกในลักษณะเดียวกันนี้แต่ยังไม่รู้ตัว

 

ดร.สาวทุกข์หนัก แม่หลงมิจฉาชีพ สูญไปแล้ว 10 ล้าน เตือนไงก็ไม่ฟัง

 

นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เปิดเผยว่า หลังได้รับแจ้งจากลูกสาวของผู้เสียหายและได้พูดคุยด้วยตนเอง รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก

โดยจากเหตุการณ์นี้ นายเอกภพกล่าวว่า สิ่งสำคัญคือทุกครอบครัวต้องช่วยกันสังเกตพฤติกรรมของคุณพ่อคุณแม่หรือผู้สูงอายุในบ้าน หากพบว่ามีความผิดปกติ เช่น พูดคุยกับใครบางคนเป็นเวลานาน มีการนำทรัพย์สินไปขายหรือยืมเงินคนอื่น ควรรีบเข้าไปพูดคุยและตรวจสอบให้เร็วที่สุด เพราะหากปล่อยไว้นาน ความเสียหายจะยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ

โดยในกรณีนี้ กลุ่มมิจฉาชีพมีการสอนให้คุณแม่โกหกว่า หากลูกมาถามหรือสงสัยว่าจะให้ตอบว่าอย่างไร ซึ่งเป็นลักษณะของการล้างสมอง ผู้สูงอายุที่หลงเชื่อจะอยู่ในภวังค์ ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรคือความจริง ทำให้ยิ่งเชื่อคนร้ายมากขึ้นทุกวัน

นายเอกภพเปิดเผยว่า วันนี้ได้ประสานไปยัง พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง รองผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ (รอง ผบช.สอท.) เพื่อให้เดินทางลงพื้นที่ร่วมด้วย โดยท่านผู้การได้ส่งทีมลงมาล่วงหน้าแล้ว เพื่อเตรียมเข้าไปพูดคุยและหาทางช่วยนำคุณแม่ออกจากภวังค์ พร้อมตรวจสอบข้อมูลการโอนเงินและหลักฐานทั้งหมด

ทั้งนี้ หากวันนี้คุณแม่ยังไม่ยอมเชื่อหรือปฏิเสธความจริง อาจต้องให้ตำรวจไซเบอร์เข้าช่วยตรวจสอบอย่างละเอียด เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจในพื้นที่อาจไม่มีข้อมูลหรือเครื่องมือเพียงพอในการเข้าถึงข้อมูลเชิงเทคนิคเหมือนตำรวจไซเบอร์ ซึ่งขณะนี้ต้องเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้สูญเสียทรัพย์สินและอาจสูญเสียตัวคุณแม่ไปในเชิงสภาพจิตใจด้วย

นายเอกภพ ระบุเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ลูกสาวได้ไปแจ้งตำรวจแล้ว แต่ถูกปฏิเสธ โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่าไม่สามารถรับแจ้งแทนได้ ต้องให้ผู้เสียหายมาแจ้งเอง ทั้งที่ในขณะนั้นคุณแม่อยู่ในภวังค์และไม่ยอมรับว่าถูกหลอก ส่งผลให้ไม่สามารถอายัดบัญชีได้ทัน และในวันนั้นมีการโอนเงินไปแล้วกว่า 3 ล้านบาท กระทั่งล่าสุดยอดความเสียหายเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 10 ล้านบาท

นายเอกภพฝากถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ควรให้ความสำคัญกับเคสลักษณะนี้ เพราะผู้สูงอายุที่ถูกหลอกมักอยู่ในภาวะเชื่อฝังใจ ไม่สามารถแยกแยะได้ว่ากำลังถูกหลอก และลูกหลานเองก็แทบหมดหนทางช่วยเหลือ