- 28 พ.ย. 2568
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์เฟซบุ๊กวิจารณ์การบริหารสถานการณ์อุทกภัยหาดใหญ่ของนายกรัฐมนตรี ระบุข้อมูลผิดพลาด–สั่งการล่าช้า ทำประชาชนติดอยู่ในพื้นที่เกือบแสนคน
เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและนักเคลื่อนไหวทางสังคม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก แสดงความไม่เห็นด้วยต่อแนวทางบริหารจัดการอุทกภัยในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยระบุว่าวิกฤตรอบนี้เป็น “บทพิสูจน์ภาวะผู้นำ” ของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่ชัดเจนกว่าครั้งใด
ชูวิทย์ระบุว่า เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเป็นสองระลอก โดยรอบแรกน้ำไหลมาจากพื้นที่คอหงส์ พร้อมฝนที่ตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 19–22 พฤศจิกายน ขณะที่ระลอกที่สองเกิดจากมวลน้ำจำนวนมากที่ไหลมาจากอำเภอสะเดา เข้าพื้นที่หาดใหญ่ในคืนวันอาทิตย์ พร้อมระบุว่า ขณะผู้นำให้ข้อมูลว่าสถานการณ์ “ควบคุมได้” นั้น แท้จริงคือช่วงเวลาที่ประชาชนควรได้รับการเตือนภัยล่วงหน้า
นายชูวิทย์วิจารณ์ว่า นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่เมื่อวันเสาร์ ก่อนกลับกรุงเทพฯ เพื่อร่วมกิจกรรมทางการเมือง และลงพื้นที่อีกครั้งในวันเดียวกัน พร้อมประกาศว่าระดับน้ำจะลดลงในวันอังคาร แต่คำประเมินดังกล่าวสวนทางกับสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงถัดมา เมื่อระดับน้ำไหลบ่าเข้าท่วมทั้งเมืองอย่างฉับพลันในคืนวันอาทิตย์ ส่งผลให้ประชาชนหลายหมื่นคนติดอยู่ในบ้าน ไม่สามารถอพยพได้ทัน ไม่มีทั้งอาหาร น้ำดื่ม และการสื่อสารบางส่วนถูกตัดขาด
นอกจากนี้ ชูวิทย์ยังตั้งคำถามต่อการบริหารโครงสร้างบัญชาการ โดยเฉพาะการแต่งตั้ง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติ แต่กลับไม่สามารถเข้าร่วมประชุมทางไกลได้ เนื่องจากอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ขณะที่นายกรัฐมนตรีเองยังเข้าใจว่าธรรมนัสอยู่ในพื้นที่ภาคใต้
เขาระบุว่านี่เป็นสัญญาณถึงความสับสนในการสั่งการ ระบบเตรียมพร้อมที่ไม่เป็นเอกภาพ และการจัดตั้งวอร์รูมบัญชาการที่ไม่มีกลไกสั่งงานชัดเจน ทำให้ความช่วยเหลือไปถึงประชาชนล่าช้า เกิดความโกลาหลในหลายพื้นที่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาภาวะผู้นำในช่วงภัยพิบัติ
ชูวิทย์ยกเหตุการณ์ของอาสาสมัครและบุคคลสาธารณะ เช่น เปิ้ล นาคร หรือ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ซึ่งออกมาพูดถึงความยากลำบากในการให้ความช่วยเหลือว่าเป็นภาพสะท้อนความล้มเหลวของการจัดการภาคส่วนรัฐ และเป็นสัญญาณว่าระบบหลักไม่สามารถรองรับภัยพิบัติขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ท้ายที่สุด เขาระบุว่า เหตุการณ์ครั้งนี้อาจทำให้ประชาชน “ตาสว่าง” และใช้สิ่งที่เกิดขึ้นประกอบการพิจารณาว่านายกรัฐมนตรีเหมาะสมจะดำรงตำแหน่งต่อหรือไม่ โดยขอให้ดูจาก “คำพูด–ท่าที–การสั่งการ” ในช่วงวิกฤตเป็นหลัก
ที่มา @ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์






