- 29 พ.ย. 2568
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) รวบคาสนามบิน เครือข่ายบัญชีม้า โยง 2 คดีดัง STICURRENCY – เพจปลอม JIB” รวบ “อาชิง” คนว่าจ้างเปิดบัญชี ขยายผลกวาดล้างทั้งขบวนการ
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ร่วมกันจับกุม น.ส.นาแลฯ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 6885/2568 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 เครือข่ายบัญชีม้า โยง 2 คดีดัง STICURRENCY – เพจปลอม JIB” รวบ “อาชิง” คนว่าจ้างเปิดบัญชี ขยายผลกวาดล้างทั้งขบวนการ
ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน”
สถานที่จับกุม อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศขาเข้า ชั้น 1 ท่าอากาศยานแห่งหนึ่ง ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
พฤติการณ์ กก.1 บก.ปอท. โชว์ผลงาน รุกขยายผลทลายเครือข่ายบัญชีม้ากลุ่มใหญ่ เชื่อมโยงคดีหลอกลงทุน STICURRENCY และคดีปลอมเพจร้านดัง JIB หลังรวบทีมกดเงินกลางห้างดังเมื่อกลางปี ล่าสุดรวบตัวการสำคัญ
“อาชิงฯ นามสมมติ” จัดหาบัญชีม้าส่งแก๊งจีนเทา แฉกลโกงจ้างเปิดบัญชีอ้างถอนเงินให้ “นักท่องเที่ยว”
เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอท. ได้เข้าจับกุม น.ส.อาชิง (นามสมมติ) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ตัวการสำคัญในเครือข่ายฉ้อโกงประชาชน โดยจับกุมได้พร้อมหลักฐานสำคัญ ซึ่งการจับกุมครั้งนี้เป็นการขยายผลจากการสืบสวนอย่างต่อเนื่อง
การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ กก.1 บก.ปอท. ได้แกะรอยคนร้ายจาก 2 คดีใหญ่ที่มีผู้เสียหายจำนวนมาก คือ 1. คดีหลอกลงทุนผ่านเว็บไซต์ STICURRENCY และ 2. คดีปลอมเพจร้าน JIB หลอกขายสินค้าและค่าเคลม งพบว่ายังมีผู้เสียหายที่เกี่ยวข้องอีก 15 คดี และพบข้อมูลชวนอึ้งว่า แม้รูปแบบการหลอกจะต่างกัน แต่เส้นทางการเงินกลับไหลไปสู่ “กลุ่มบัญชีม้ากลุ่มเดียวกัน”
โดยก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ได้บุกรวบทีมกดเงินสดได้ยกแก๊งกลางห้างดังแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว ประกอบด้วยคนไทย 5 ราย พร้อมด้วย Mr.DI (ชาวจีน) ผู้รวบรวมเงิน และ Mr.LI (ชาวฮ่องกง) ผู้ขนเงินข้ามชาติ พบทั้งหมดรับคำสั่งจาก “บัญชีเทเลแกรมปริศนา” บัญชีเดียว จากการขยายผลอย่างกัดไม่ปล่อย นำมาสู่การรวบตัว น.ส.อาชิง ซึ่งทำหน้าที่เป็นแม่ข่าย ชักชวนคนเปิดบัญชีม้าผ่านเฟซบุ๊ก โดยใช้อุบายสุดแสบ อ้างว่าเป็นงาน “ช่วยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่มีบัญชีธนาคาร” โดยเสนอค่าตอบแทนสูงถึงบัญชีละ 7,000 บาท (เหมา 5 บัญชี รับทันที 35,000 บาท)
นอกจากนี้ น.ส.อาชิง ยังทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ประสานงานระหว่างทีมกดเงินกับแก๊งชาวจีน เพื่อตัดตอนเส้นทางการเงินไม่ให้สาวถึงตัวการใหญ่ ซึ่งตอกย้ำรูปแบบที่คนร้ายใช้บัญชีม้าเป็นศูนย์กลางในการรับเงินจากเหยื่อ ถอนเงินสดทันที และส่งต่อให้เครือข่ายต่างชาติจนยากต่อการติดตามเส้นทางเงิน หากขาดการสืบสวนรวดเร็วของเจ้าหน้าที่ ก่อความเสียหายเป็นวงกว้างและต่อเนื่องในหลายท้องที่
สอบถามคำให้การเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่ารู้จักกับผู้ร่วมกระบวนการคนอื่นๆ จริง ซึ่งบางรายเป็นแฟนเก่าและบางรายเป็นหนุ่มที่เคยมาจีบ แต่ไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด และเคยว่าจ้างผู้อื่นให้เปิดบัญชีแต่ไม่สำเร็จ จึงไม่ได้ทำแล้วในปัจจุบัน
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เตือนภัย ปัจจุบันกลุ่มมิจฉาชีพมีวิธีหลอกลวงรูปแบบใหม่ โดยชักชวนประชาชนให้เปิดบัญชีธนาคารให้ใช้ หรือให้ช่วย “กดเงิน–ถอนเงินสดแทน” โดยอ้างว่าเป็นเงินของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวไทย หรือเป็นเงินบริษัทจากต่างประเทศที่ต้องการคนช่วยถอนให้เท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริง นี่คือกลลวงที่ใช้บุคคลธรรมดาไปเป็นบัญชีม้าเพื่อฟอกเงินจากการหลอกลวงประชาชน ผู้ที่หลงเชื่อมักคิดว่าเป็นงานง่าย รายได้ดี แต่เมื่อเงินที่รับเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกง ผู้เสียหายและตำรวจจะตรวจสอบพบชื่อเจ้าของบัญชีทันที ส่งผลให้ผู้รับจ้างถอนเงินกลายเป็นผู้ต้องหาในคดีร่วมกันฉ้อโกงหรือฟอกเงินโดยอัตโนมัติ แม้จะอ้างว่า “ไม่รู้เรื่อง” หรือ “ทำตามที่เขาฝาก” ก็ไม่ช่วยให้พ้น “อย่าให้เงินไม่กี่ร้อยหรือไม่กี่พัน ทำลายอนาคตทั้งชีวิตของคุณ”
เมื่อมีข้อสงสัย สามารถสอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วนที่เกี่ยวข้อง
ช่องทางการติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ร.ต.อ.ณัฐวัฒน์ ตาแว่น รอง สว.กก.1 บก.ปอท. โทร. 084-0987993
“การเผยแพร่ข่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะของประชาชน ให้รู้เท่าทันภัยอันตรายรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างการตระหนักรู้เป็นวงกว้าง ทั้งนี้ ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ดังนั้น สำหรับการเผยแพร่ข่าวของสื่อมวลชน ขอให้พิจารณาถึงประโยชน์และสิทธิของผู้ต้องหาข้างต้น”






