- 12 ธ.ค. 2568
ตดไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เบื้องหลังเต็มไปด้วยสาเหตุจากอาหารและระบบย่อยอาหารที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อน เปิด 15 ปัจจัยที่ทำให้เรา “ตด” ในแบบต่าง ๆ
การตด (Flatulence) เป็นกระบวนการตามธรรมชาติของร่างกายที่เกิดจากแก๊สในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งมาจากทั้งการย่อยอาหาร การหมักของแบคทีเรียในลำไส้ รวมถึงอากาศที่กลืนเข้าไปโดยไม่รู้ตัว แม้จะเป็นพฤติกรรมทางร่างกายที่พบได้ในชีวิตประจำวัน แต่หลายคนยังสงสัยว่าทำไมบางครั้งถึงตดดัง บางครั้งมีกลิ่นเหม็น หรือบางครั้งเกิดขึ้นหลังทานอาหารบางชนิดโดยเฉพาะ
บทความนี้รวบรวม 15 สาเหตุหลักของการตด แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ สาเหตุจากอาหารและระบบย่อยอาหาร และ สาเหตุจากกิจกรรม/สรีรวิทยา เพื่อให้เข้าใจว่าสิ่งที่เรากินและสิ่งที่เราทำส่งผลต่อการเกิดแก๊สอย่างไรบ้าง
สาเหตุที่เกี่ยวข้องกับอาหารและระบบย่อยอาหาร
1. ตดเสียงดัง
เกิดจากอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ธัญพืช ผัก และผลไม้ เมื่อแบคทีเรียย่อยสลายจะเกิดแก๊สจำนวนมาก ทำให้แรงดันในลำไส้เพิ่มขึ้นจนเกิดเสียงดังเวลาแก๊สออกมา
2. ตดไม่มีเสียงแต่เหม็น
เกิดจากแก๊สที่มีซัลเฟอร์สูง ซึ่งมักเกิดในคนที่มีสมดุลแบคทีเรียลำไส้ดี และสารกำมะถันเป็นตัวการสำคัญของกลิ่นเหม็นชัดเจน
3. ตดหลังทานถั่ว
เพราะถั่วมีโอลิโกแซ็กคาไรด์ที่ร่างกายย่อยยาก ทำให้แบคทีเรียต้องหมักแทน และปล่อยแก๊สออกมามาก
4. ตดหลังดื่มนม
สัมพันธ์กับภาวะ “แพ้แลคโตส” เนื่องจากเอนไซม์แลคเตสไม่พอย่อย ทำให้แลคโตสไปถึงลำไส้ใหญ่และถูกหมักจนเกิดแก๊สจำนวนมาก
5. ตดหลังดื่มเบียร์
เกิดจากน้ำตาล ยีสต์ และอากาศที่กลืนเข้าไป ทำให้กระบวนการหมักในลำไส้เกิดขึ้นมากขึ้น
6. ตดหลังทานผัก
ผักตระกูลกะหล่ำ เช่น บรอกโคลี กะหล่ำปลี มีน้ำตาลย่อยยากและไฟเบอร์สูง ทำให้เกิดแก๊สมาก
7. ตดจากช็อกโกแลต
เพราะน้ำตาลที่อยู่ในช็อกโกแลตถูกหมักโดยแบคทีเรียในลำไส้
8. ตดจากผลไม้
ฟรุกโตสในผลไม้บางชนิดดูดซึมไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดแก๊สเพิ่มขึ้น
9. ตดจากเนื้อสัตว์
การย่อยโปรตีนใช้เวลานาน ทำให้เกิดสสารประกอบกลิ่นเหม็น เช่น แอมโมเนีย และซัลเฟอร์
10. ตดจากกระเทียม
กระเทียมมีสารประกอบกำมะถันจำนวนมาก ซึ่งเป็นสาเหตุของกลิ่นตดที่ฉุน
11. ตดจากลูกอม
โดยเฉพาะลูกอมที่มีสารให้ความหวานเทียม เช่น ซอร์บิทอล หรือไซลิทอล ซึ่งย่อยยากและถูกแบคทีเรียหมักจนเกิดแก๊ส
สาเหตุที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมและสรีรวิทยา
12. ตดตอนเช้า
เกิดจากแก๊สที่สะสมในระหว่างการนอนหลับ และถูกขับออกมาเมื่อร่างกายเริ่มขยับตอนตื่นเช้า
13. ตดก่อนนอน
เพราะช่วงกลางคืนกล้ามเนื้อร่างกายผ่อนคลาย รวมถึงหูรูดทวาร ทำให้แก๊สออกง่ายขึ้น
14. ตดขณะออกกำลังกาย
กิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวแรง เช่น วิ่ง หรือเวทเทรนนิ่ง ทำให้ลำไส้บีบตัวช่วยขับแก๊สค้าง
15.ลำไส้อุดตัน
(อันตรายมาก) ปวดท้องรุนแรง, ไม่ถ่าย, ไม่ผายลม
เมื่อไหร่ควรกังวล?
แม้การตดจะเป็นเรื่องปกติ แต่หากมีอาการตดบ่อยผิดปกติ ปวดท้อง ท้องอืด หรือท้องเสียร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาภาวะผิดปกติ เช่น ภาวะลำไส้แปรปรวน (IBS) หรือแพ้อาหารบางชนิด
แหล่งที่มาอ้างอิง
Mayo Clinic – Digestive Gas & Causes
Cleveland Clinic – Why Am I So Gassy?






