โพสต์สุดท้าย "พล.ต.ต.ธนานันท์วิชญ์" ใจหาย ไร้สัญญาณบอกเหตุ

เปิดโพสต์สุดท้าย พล.ต.ต.ธนานันท์วิชญ์ ศรีบุญเรือง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุทัยธานี ก่อนจบชีวิตตัวเองเศร้า ไร้สัญญาณบอกลา

จากกรณีวันที่ 15 ธันวาคม 2568 เจ้าหน้าที่รับแจ้งเหตุพบผู้เสียชีวิตภายในรถยนต์คันหนึ่ง จอดอยู่บริเวณหน้าบ้านพักในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ จึงรุดเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ ทราบว่าผู้เสียชีวิตคือ พล.ต.ต.ธนานันท์วิชญ์ ศรีบุญเรือง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุทัยธานี ลักษณะเหตุพบว่าใช้อาวุธปืนยิงตัวเองเสียชีวิตภายในรถยนต์ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียด พร้อมสอบสวนพยานแวดล้อม และรวบรวมพยานหลักฐาน

 

โพสต์สุดท้าย พล.ต.ต.ธนานันท์วิชญ์ ใจหาย ไร้สัญญาณบอกเหตุ

 

 

โพสต์สุดท้าย พล.ต.ต.ธนานันท์วิชญ์ ใจหาย ไร้สัญญาณบอกเหตุ

 

คืบหน้า เบื้องต้นคาดว่าสาเหตุอาจมาจากความเครียดจากปัญหาส่วนตัว รวมถึงปัญหาด้านสุขภาพ

สำหรับ พล.ต.ต.ธนานันท์วิชญ์ ศรีบุญเรือง เพิ่งเข้าดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุทัยธานี เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2568 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เมื่อย้อนโพสต์ของ พล.ต.ต.ธนานันท์วิชญ์ ศรีบุญเรือง บนเฟซบุ๊ก โพสต์สาธารณะล่าสุดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ได้โพสต์ไว้ว่า

"ทบทวนอดีตว่าเป็นรองผู้การมาแปดปี (อุดรธานี 2 ปี, นครสวรรค์ 5 ปี, อุตรดิตถ์ 1 ปี) ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมและองค์กรที่เรารักอะไรบ้าง เพื่อเกษียณในปี 2570 อย่างภาคภูมิใจในวิถีที่เราเลือก"

โพสต์สุดท้าย พล.ต.ต.ธนานันท์วิชญ์ ใจหาย ไร้สัญญาณบอกเหตุ

 

และโพสต์สุดท้าย วันที่ 1 ธันวาคม 2568

ช่วงปี 56-57 ขณะดำรงตำแหน่งเป็น ผกก.สภ.หนองวัวซอ อุดรธานี เป็นโรงพักที่สองของการเป็นผู้กำกับ มีเหตุการณ์และผลงานที่ภาคภูมิใจอีกหนึ่งเหตุการณ์ คือทำโครงการ "เกี่ยวข้าวช่วยชาวนาที่ยากจนแต่เป็นพลเมืองดี"

ช่วงนั้นมีลูกน้องมาเสนอหนังสือจาก อบต. แห่งหนึ่งในอำเภอหนองวัวซอ เนื้อความว่า ขอกำลังตำรวจจำนวน 10 นาย เกี่ยวข้าวกับผู้บริหารของ อบต. และชาวบ้านจำนวนหนึ่ง จึงคิดว่ากำลังตำรวจของ สภ. ก็มีจำนวนมากกว่า 70 นาย น่าจะจัดเอง โดยมีหลักคิดว่า 

"จะนำตำรวจวันละครึ่งโรงพัก คือประมาณ 35 นาย ร่วมกับชาวบ้านอีกราว 35-40 คน ช่วยเกี่ยวข้าวช่วยชาวนาที่ยากจน เช่น มีที่นาน้อยๆ ไม่เกิน 5 ไร่ และเป็นพลเมืองดี เป็นจิตอาสา ชอบช่วยเหลือกิจกรรมของหมู่บ้าน เป็นการช่วยลดรายจ่ายในการเกี่ยวข้าว แทนที่จะไปจ้างแรงงานหัวละ 3-400 บาท/วัน เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นๆ ร่วมกับตำรวจของ สภ.หนองวัวซอ เกี่ยวข้าวนาแปลงนั้นฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ขอเป็นอาหารมื้อเที่ยงหลังเกี่ยวข้าวเสร็จ โดยเป็นอาหารง่ายๆ เช่น ส้มตำ ไข่เจียว กับน้ำพริกและผักสด ผักต้ม พร้อมข้าวเหนียว มีข้อแม้ว่าไม่มีการเลี้ยงเหล้าเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือชาวบ้านในหมู่บ้าน"

แล้วจึงให้สายตรวจตำบลไปติดต่อกับกำนันและผู้ใหญ่บ้านของตำบลนั้น ประชุมหารือกันว่าเกษตรกรที่มีคุณสมบัตินั้นเป็นเกษตรกรคนใดของหมู่บ้านไหน ปรากฏว่าโครงการนี้ได้รับความสนใจของผู้นำชุมชนต่างๆ และประชาชนที่ยากจนเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นการลดรายจ่ายแต่เพิ่มรายได้ให้เกษตรกรนั้นเป็นอันมาก โดยอำเภอหนองวัวซอมีตำบลทั้งหมด 7 ตำบล เมื่อตกลงได้ข้อสรุปแล้วจึงรีบลงมือเกณฑ์ตำรวจไปช่วยเกษตรกรนั้นๆ โดยต้องรีบดำเนินการ เพราะเมื่อถึงฤดูเกี่ยวข้าวต้องรีบเกี่ยวข้าวก่อนที่ลมหนาวจะพัดต้นข้าวล้ม แล้วจะทำให้เกี่ยวยากขึ้น เพราะต้องก้มหลังมาก

ในช่วง 7 วัน ต้องลงเกี่ยวข้าวเองทุกวัน และต้องยืนระยะเกี่ยวข้าวตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงจนแล้วเสร็จ เพราะถ้าผู้กำกับไม่อยู่ ลูกน้องก็จะหนีกลับกันหมด จึงต้องอยู่จนเสร็จสิ้นภารกิจทุกวันทั้ง 7 วัน ที่ประทับใจมากๆ คือเกิดมาไม่เคยเกี่ยวข้าวเลย ต้องเรียนรู้ในท้องนาจริงๆ โดยวันแรกเกี่ยวไม่เป็น ตวัดเคียวเกี่ยวเข้าต้นขาของตนเองจนกางเกงขาด และได้เลือดเล็กน้อย และต้องยืนระยะทั้ง 7 วัน เหนื่อยแสนเหนื่อย แต่เมื่อคิดแล้วต้องทำโครงการนี้ให้สำเร็จให้จงได้ และต้องได้มวลชน เป็นผลงานที่ดี อันสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของตำรวจหนองวัวซอ และทำให้ประชาชนเห็นความจริงใจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หนองวัวซอ ให้จงได้

และที่บอกไปว่า วันสุดท้ายที่ประทับใจมากๆ คือที่นาแปลงนี้เป็นของคุณป้าที่มีอายุมาก แต่สนับสนุนกิจกรรมของหมู่บ้านด้วยดี แกหาแรงงานมาช่วยเกี่ยวข้าวไม่ได้จนต้นข้าวล้มแล้ว จนกระทั่งแกเริ่มป่วยลงเพราะหมดกำลังใจ นอนซมอยู่บ้าน แต่เมื่อพวกเราไปช่วยเกี่ยวข้าวพร้อมกับชาวบ้านในหมู่บ้าน แกหายป่วย ลุกขึ้นมาทำกับข้าวหุงข้าวมาให้พวกเรากิน และทำต้มยำปลามาให้พวกเรากินด้วยความหวังดี เมื่อผมทราบจึงปฏิเสธต้มยำปลานั้น เพราะผิดกติกาที่กำหนดไว้ ป้ามีอาการหน้าเสีย ผมจึงพูดต่อไปว่า ให้ป้านำต้มยำปลานั้นไปแช่ตู้เย็น และนำมาอุ่นให้ร้อนในวันรุ่งขึ้น แล้วถวายพระที่วัดในหมู่บ้านนั้น แกจึงยิ้มออก และวันนั้นจึงมีภาพปิดจบภารกิจนี้อย่างสวยงาม เป็นธรรมชาติที่ทุกๆ คนมีความสุขกับมิตรภาพดีในช่วงเวลาสั้นๆ จากความจริงใจของทุกฝ่าย

หลังจากจบโครงการนี้สักพัก ผู้การอุดรธานีคนใหม่ นรต. รุ่น 34 มาตรวจเยี่ยมโรงพัก จึงนำเสนอผลงานต่างๆ ปรากฏว่าท่านผู้การชอบโครงการนี้มาก และนำไปเป็นโครงการของ ภ.จว.อุดรธานี ให้ทุก สภ. ไปดำเนินการ และแพร่ไปในหลายจังหวัดทั่วประเทศ แต่หลาย สภ. ไม่เข้าใจในรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องใช้หัวใจและความจริงใจในการดำเนินงาน จึงจะประสบความสำเร็จ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการแต่งเครื่องแบบติดยศ จับเคียวเกี่ยวข้าว แล้วลงไปเกี่ยวข้าวพอเป็นพิธีแค่ 5-10 นาทีเท่านั้นก็เลิก และสั่งให้ลูกน้องเกี่ยวข้าว ซึ่งกลับไปเป็นมุมลบกับภาพลักษณ์ของตำรวจ เพราะให้ชาวบ้านมาเลี้ยงดูปูเสื่อ แถมด้วยการดื่มสุราจนเป็นที่เอือมระอาของชาวบ้าน

เป็นที่สุด

 

โพสต์สุดท้าย พล.ต.ต.ธนานันท์วิชญ์ ใจหาย ไร้สัญญาณบอกเหตุ