คุมเข้มโดรน สมช. ยกระดับความมั่นคงสนามบิน-7 จังหวัดชายแดน

โฆษกรัฐบาล เผยมติที่ประชุม สมช. เข้มมาตรการควบคุมโดรน ป้องกันภัยความมั่นคง กำหนดพื้นที่ควบคุม 7 จังหวัดชายแดน–สนามบินทั่วประเทศ

คุมเข้มโดรน สมช. ยกระดับความมั่นคงสนามบิน-7 จังหวัดชายแดน โฆษกรัฐบาล เผยมติที่ประชุม สมช. เข้มมาตรการควบคุมโดรน ป้องกันภัยความมั่นคง กำหนดพื้นที่ควบคุม 7 จังหวัดชายแดน–สนามบินทั่วประเทศ

 

วันนี้ (22 ธันวาคม 2568) เวลา 11.00 น. ณ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำเนียบรัฐบาล นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมลชนภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ครั้งที่ 17/2568 ซึ่งมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน โดยนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สรุปสาระสำคัญดังนี้

 

คุมเข้มโดรน สมช. ยกระดับความมั่นคงสนามบิน-7 จังหวัดชายแดน

เลขาธิการ สมช. ระบุว่า ที่ผ่านมาได้ตรวจพบการลักลอบนำอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) เข้ามาในพื้นที่ประเทศ โดยสำนักงานการบินพลเรือนได้ออกประกาศกำหนดพื้นที่ควบคุม ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2568 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2568 ครอบคลุมพื้นที่ควบคุม 7 จังหวัดชายแดน รวมถึงสนามบินและจุดสำคัญทั่วประเทศ เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านความมั่นคงจากการใช้โดรน โดย ที่ประชุม สมช. มีมติเห็นชอบมาตรการ 2 ส่วน ได้แก่

 

1) มาตรการระยะเร่งด่วน โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ การท่าอากาศยาน สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย กสทช. เหล่าทัพ ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานด้านความมั่นคง สนับสนุนการดำเนินงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างใกล้ชิด ทั้งด้านการป้องกัน การสืบสวนสอบสวน และการใช้ระบบต่อต้านโดรน (Anti-Drone) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการโดรนเป้าหมายในพื้นที่เสี่ยง

 

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาผ่อนคลายมาตรการอนุญาตการนำเข้าโดรนสำหรับหน่วยงานที่จำเป็น พร้อมทั้งเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการลักลอบนำโดรนเข้าพื้นที่ชายแดนและพื้นที่อื่น ๆ รวมถึงย้ำว่าการใช้โดรนในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะพื้นที่ด้านความมั่นคงและสนามบิน ถือเป็นความผิดที่มีโทษร้ายแรง จำเป็นต้องสื่อสารให้ประชาชนและทุกภาคส่วนรับทราบอย่างชัดเจน

 

คุมเข้มโดรน สมช. ยกระดับความมั่นคงสนามบิน-7 จังหวัดชายแดน

2) มาตรการระยะยาว ที่ประชุม สมช. ได้มอบหมายให้กองทัพอากาศเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการทำงานของทุกหน่วย เพื่อให้เกิดเอกภาพ โดยให้จัดตั้งองค์กรเฉพาะกิจ เบื้องต้นใช้ชื่อว่า “ศูนย์บริหารจัดการควบคุมต่อต้านอากาศยานไม่มีคนขับแห่งชาติ” ควบคู่กับการเตรียมพิจารณาเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัย รวมถึงการพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อมในอนาคต และพิจารณาทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มโทษกรณีการใช้โดรนเป็นภัยต่อความมั่นคง

 

ด้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้กล่าวเพิ่มเติมระบุว่า การปฏิบัติการเกี่ยวกับอากาศยานไร้คนขับ เป็นการดำเนินงานร่วมภายใต้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านอากาศยานไร้คนขับของกองทัพอากาศ ตามมติ สมช. ตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา โดยแบ่งพื้นที่รับผิดชอบออกเป็นวงใน วงกลาง และวงนอก ซึ่งพื้นที่วงในหรือ “ไข่แดง” เช่น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อยู่ภายใต้ความร่วมมือของกองทัพอากาศ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ส่วนวงนอก หรือ “ไข่ขาว” อยู่ในความรับผิดชอบของกองทัพบก ซึ่งมีผลการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและชัดเจน

 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะได้นำมติที่ประชุมไปกำหนดมาตรการและแผนปฏิบัติยุทธศาสตร์ด้านการป้องกัน ปราบปราม และสืบสวนสอบสวน รวมถึงการยกระดับความมั่นคงทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยใช้รูปแบบการดูแลพื้นที่สนามบินของกองบัญชาการตำรวจนครบาลและสนามบินจังหวัดนครราชสีมาเป็นต้นแบบ พร้อมจัดทำแผนเผชิญเหตุไว้อย่างครบถ้วน

 

ในด้านกฎหมายทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติย้ำว่า การใช้โดรนในพื้นที่ห้ามบินหรือบริเวณสนามบิน เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558 ซึ่งมีโทษร้ายแรงสูงสุดถึงประหารชีวิต และหากการสอบสวนพบว่าเข้าข่ายเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หมวดความมั่นคงของรัฐ ซึ่งมีโทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิต