ติดตามเรื่องราวดีๆอีกมากมาย ได้ที่ http://www.tnews.co.th

พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณ ” พระราชสิงหคณาจารย์ ” หรือที่รู้จักกันดีในนาม หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี

 พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียง พระเครื่องของท่านทุกรุ่น ทุกพิมพ์ทรงล้วนมีพุทธคุณสูงเยี่ยมในทุกๆด้าน ผู้ประสบปาฏิหาริย์แห่งความเข้มขลังเป็นที่เลื่องชื่อลือชาอย่างกว้างขวางทั้งชาวไทย ชาวจีน ตลอดจนชาวต่างประเทศ เช่น ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย ต่างรู้จักกิตติคุณของหลวงพ่อแพเป็นอย่างดี

หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง เหรียญไตรมาส รุ่นที่ ๒หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปในนาม เหรียญ M๑๖จัดสร้าง พ.ศ.๒๕๑๓ มีสามเนื้อคือเงิน นวะ และทองแดง เป็นเหรียญยอดนิยม ประสบการณ์มากมาย สยบปืน M๑๖ มาแล้ว เลยเรียกกันทับศัพท์ว่าเหรียญ M๑๖

อานุภาพของปืน M๑๖ รุนแรงเพียงใด คนไม่เคยออกสนามรบไม่มีทางทราบได้ ในสงครามเวียดนามมีผู้บันทึกอานุภาพของปืน M๑๖ ไว้ดังนี้

“วันที่ ๑๖ มิถุนายน พศ. ๒๕๐๖ หน่วยลาดตระเวนสังกัดกองร้อยที่ ๓๔๐ ปะทะกับข้าศึกจำนวน ๓ นาย ขณะออกปฏิบัติการในป่าลึก ทหารเวียตกง ๒ นาย มีอาวุธปืนคาร์บิน ลูกระเบิดขว้าง ระเบิดแสวงเครื่อง ข้าศึกอีก ๑ นายใช้อาวุธปืนกลมือ ที่ระยะประมาณ ๑๕ เมตร ทหารเวียตนามใต้ใช้ปืนไรเฟิลจู่โจม เออาร์-๑๕ (ต้นแบบของปืน เอ็ม-๑๖ ) ยิงต่อสู้โดนทหารเวียตกง๓ นัด หนึ่งนัดเด็ดหัวข้าศึกออกจากคอ หนึ่งนัด กระทบที่แขนทำให้แขนหลุด อีกนัด เข้าด้านขวาของลำตัว เกิดเป็นรูบาดแผลมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๕ นิ้ว ในความเห็นของข้าพเจ้า บาดแผลจากกระสุนเพียงนัดใดนัดหนึ่ง ก็เพียงพอที่จะปลิดชีพข้าศึก ฯลฯ”

..รายงานของนายทหารอเมริกัน ที่ปรึกษากองทัพเวียตนามใต้และสังเกตการณ์ในสงครามเวียดนาม

กฤษดาอภินิหาร..ลองเหรียญ \"หลวงพ่อแพ\" ปืน M๑๖ ยิงออกทุกนัด แต่หัวกระสุนปืนค่อยๆไหลจากปากกระบอกปืน แล้วร่วงลงบนพื้น..

หลวงพ่อแพ

เช่าพระคลิ๊กที่นี่ เช่าพระที่นี่

 

สำหรับตำนานเหรียญ M๑๖ ในสมัยที่หลวงพ่อยังอยู่มีทหารพลร่มจากค่ายป่าหวาย ลพบุรี นำเฮลิคอปเตอร์ มาลงจอดที่หน้าวัดพิกุลทอง เพื่อขอรับวัตถุมงคล ไปแจกทหารสู้รบกับทหารคอมมิวนิสต์ แต่ในคณะที่มาขอวัตถุมงคลนั้นมีทหารนายหนึ่ง เอ่ยขึ้นมาว่าหลวงพ่อแพ แห่งวัดพิกุลทองนั้น มีดีเพียงเมมตตามหานิยมเท่านั้น

เนื่องจากในสมัยนั้น หลวงพ่อแพท่านเป็นที่ลือชื่อเป็นองค์เกจิ แห่งความเมตตามหานิยมและโชคลาภในจังหวัดสิงห์บุรี

ทหารนายนั้น จึงไม่เชื่อถือในเหรียญฉลองไตรมาสรุ่นนี้ แต่หลวงพ่อท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่มีทหารอีกคนหนึ่ง นำปืนM๑๖ ที่ติดตัวมาด้วย ลองยิงเหรียญรุ่นนี้ดู และทุกคนก็ตะลึงเพราะเกิดกฤษดาอภินิหาร ปืน M๑๖ ยิงออกทุกนัด แต่หัวกระสุนปืนที่ยิงไปนั้น กลับค่อยๆไหลออกมาจากปากกระบอกปืน แล้วร่วงลงบนพื้นราวกลับสายน้ำ ที่หน้าเหรียญไตรมาสของหลวงพ่อแพนั้นเอง

จึงเป็นประจักษ์แก่สายตาทหารเหล่านั้น ใคร ๆ จึงขนานนามเรียกขานเหรียญไตรมาส รุ่นที่ ๒นี้ว่า “เหรียญเอ็ม๑๖” นั่นเอง

หลวงพ่อแพท่านเป็นชาวจังหวัด สิงห์บุรี เกิดในราวปี พ.ศ.๒๔๕๒ ที่บ้านสวนกล้วย ต.ดอนสมอ อ.ท่าช้าง เมื่อบิดามารดาเสียชีวิต จึงย้ายมาอยู่กับบิดามารดาบุญธรรมที่วัดใหม่ อ.ท่าช้าง ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดพิกุลทอง ตอนเด็กเรียนเขียนอ่านที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน แล้วเข้ากรุงเทพฯ เพื่อบวชเป็นสามเณรและศึกษาเล่าเรียนด้านพระปริยัติธรรมกับพระอาจารย์เขมร ที่วัดชนะสงคราม ท่านมีความใส่ใจและขวนขวายในการศึกษา อายุเพียง ๑๔ ปีก็สามารถสอบได้เปรียญ ๓ ประโยค

เมื่ออายุครบบวชจึงอุปสมบทเป็นพระ ภิกษุ ได้รับฉายา “เขมังกโร” แปลว่า ผู้ทำความเกษมแล้ว ท่านเป็นพระภิกษุที่มีจิตมุ่งมั่นที่จะบำเพ็ญตนเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา ได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของพระเกจิอาจารย์ชื่อดังในยุคนั้นหลายๆ รูป อาทิ สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) พระครูภาวนา สำนักวัดโพธิ์ หลวงพ่อสี ผู้ทรงคุณวิเศษนานัปการ ฯลฯ ท่านจึงมีความเชี่ยวชาญและแตกฉานทั้งด้านคันถธุระ วิปัสสนาธุระ รวมทั้งไสยศาสตร์และวิทยาการต่างๆ

ต่อมาได้รับมอบหมายจากสมเด็จพระ วันรัต (เฮง เขมจารี) ให้เดินทางกลับบ้านเกิดและบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามในท้องถิ่นที่ชำรุดทรุด โทรม เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้คงอยู่สืบไป ท่านจึงเดินทางกลับไปดูแลวัดพิกุลทอง ท่ามกลางความชื่นชมยินดีของชาวบ้าน

ด้วยบารมีและกุศลบุญของท่านและหลวงพ่อสี การบูรณะวัดพิกุลทองสำเร็จลุล่วงในเวลาเพียงปีเศษเท่านั้น นอกจากนี้ ท่านยังพัฒนาท้องถิ่นให้มีความเจริญควบคู่ไปด้วย ชื่อเสียงของท่านเป็นที่ร่ำลือขจรขจาย มีศิษยานุศิษย์และผู้เลื่อมใสศรัทธาเดินทางมากราบนมัสการอย่างเนืองแน่น หลวงพ่อแพท่านมรณภาพในปี พ.ศ.๒๕๔๒

กฤษดาอภินิหาร..ลองเหรียญ \"หลวงพ่อแพ\" ปืน M๑๖ ยิงออกทุกนัด แต่หัวกระสุนปืนค่อยๆไหลจากปากกระบอกปืน แล้วร่วงลงบนพื้น..

กฤษดาอภินิหาร..ลองเหรียญ \"หลวงพ่อแพ\" ปืน M๑๖ ยิงออกทุกนัด แต่หัวกระสุนปืนค่อยๆไหลจากปากกระบอกปืน แล้วร่วงลงบนพื้น..

เหรียญรุ่น M๑๖

พระอาจารย์องค์สำคัญอีกองค์ หนึ่งของหลวงพ่อแพก็คือ พระครูวิริยะโสภิต หรือ หลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ อำเภอบางระจัน จ.สิงห์บุรี ท่านเป็นพระเถระที่มีคุณธรรมสูง จิตใจสงบเยือกเย็น เมตตาปราณี ใจดีมาก ๆ เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีความชำนาญในเรื่องอำนาจจิต และพุทธาคมมาก มีวาจาที่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าท่านเอ่ยอะไรมักจะเป็นไปตามนั้น จึงมีผู้คนที่นับถือและเกรงกลัวท่านมาก

หลวงพ่อแพ ได้ร่ำเรียนวิชาจากหลวงพ่อศรี เกสโร อย่างไม่ยากเย็นนัก เพราะมีพื้นฐานเดิมอยู่แล้ว ยังความดีใจแก่หลวงพ่อศรีเป็นอย่างมาก เพราะวิชาของท่านมีผู้สืบทอด ไม่ดับสูญไปพร้อมกับตัวท่าน เมื่อถึงคราวที่จะต้องจากโลกนี้ไป วิชาหนึ่งของหลวงพ่อศรีที่เลื่องลือ และท่านได้นำมาสร้างวัตถุมงคลยุคแรก ๆ เมื่อคราวที่ท่านสร้างพระอุโบสถ วัดพิกุลทอง เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ก็คือ แหวนหล่อเนื้อโลหะ และพระเครื่องเนื้อโลหะ เมื่อสร้างเสร็จ ปลุกเสกเสร็จ ก็นำไปให้หลวงพ่อศรีดู และปลุกเสกอีกครั้งหนึ่ง

ท่านได้กล่าวว่า “ของที่ท่านแพทำไว้นั้น ใช้ได้แล้ว ฉันไม่ต้องปลุกเสกซ้ำก็ได้ แต่ไหนก็เอามาแล้ว ก็จะสงเคราะห์ให้” ปรากฏว่า ได้รับความศรัทธาจากมหาชนอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะแหวนนั้น หมดลงอย่างรวดเร็ว เพราะมีผู้นำไปใช้ ต่างได้รับประสบการณ์อย่างมากมายทุกด้าน จนต้องมีการสร้างแหวนขึ้นอีกหลายครั้งหลายครา เมื่อนำไปให้หลวงพ่อศรีท่านปลุกเสกซ้ำ ท่านยังกล่าวอีกว่า

“ดีจริง ๆ มีคนนิยมมาก และเมื่อคนต้องการ ก็ควรสร้างมาก ๆ ให้พอแก่ความต้องการ” ที่ท่านกล่าวเช่นนี้ ก็เพราะว่า ถ้ามีของที่ระลึกในการทำบุญมาก ๆ คนก็จะมาทำบุญกันมาก จะได้เงินมาก ๆ มาสร้างโบสถ์ให้เสร็จโดยเร็ว เพราะค่าใช้จ่ายในการสร้างโบสถ์นั้นสูงมาก บางวัดสร้างเป็นสิบปี ก็ยังไม่แล้วเสร็จ

กฤษดาอภินิหาร..ลองเหรียญ \"หลวงพ่อแพ\" ปืน M๑๖ ยิงออกทุกนัด แต่หัวกระสุนปืนค่อยๆไหลจากปากกระบอกปืน แล้วร่วงลงบนพื้น..

ขอขอบพระคุณท่านเจ้าของภาพ และที่มาเนื้อหาข้อมูลมา ณ ที่นี้

ศิษย์มีครู

เพื่อเผยแผ่กิตติคุณเป็นสังฆบูชา และเทิดทูนเกียรติคุณครูบาอาจารย์